ผมรับงานนี้ด้วยความยินดี กังวลก็ในประเด็นที่ว่าทั้งคณะรวมทั้งตัวผม ทุกคนอายุหกสิบต้น ๆมีโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัวกันทุกคน ห้าคนมีโรคเก๊าเป็นของแถม สองคนต้องกินยาเกี่ยวกับโรคหัวใจเป็นประจำ ที่หนักใจที่สุดคือมีเพื่อนชาวออสสเตเลียคนหนึ่งขอตามไปด้วย แกอายุ 75 ปีเป็นโรคมะเร็งลำไส้ถูกหมอตัดลำไส้ เอาไปเผาทิ้ง เกือบสิบครั้ง ตอนนี้เหลือประมาณ 1 เมตรจากเดิมที่มีความยาวประมาณ 5 เมตร ทำให้เวลากินอาหาร อาหารจะถูกถ่ายออกมาด้วยเวลาเพียง 30 นาที หลังกินอาหารทุกครั้ง จะต้องคอย 30 นาทีให้แกเข้าห้องน้ำ พวกเราเรียกแก่ว่าปู่Bob ผมได้ข้อมูลและเห็นหน้าแกชัด ๆ แล้ว ก็อยากจะเปลี่ยนใจขอร้องให้แกอยู่บ้าน แต่เมื่อรู้ความตั้งใจจริงของแกที่ว่า แกรักเมืองไทยมาก ก่อนตายอยากไปเที่ยวสถานที่สวยและลำบากที่สุดของไทย
ผมและพวก ๆ ก็เลยไม่ขัดใจ ได้ประสานงานกับโรงพยาบาลประจำของแก ที่กรุงเทพ และติดต่อขอความร่วมมือจากหมอแต๋ว พยาบาลอาวุโส ของโรงพยาบาลแม่สอด ซึ่งรู้จักกันมานานให้คอยประสานงานอยู่ที่แม่สอด ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำตกทีลอซู มากกว่า 200 กิโลเมตร ตามทางรถยนต์ ให้คอยช่วยเหลือ ผมมั่นใจว่าโรงพยาบาลแม่สอด คงให้ความช่วยเหลือได้ในยามจำเป็น แต่ก็ไม่ลืมที่จะติดต่อเครื่องบินเหมาลำ ของ SGA ให้พร้อมที่จะไปรับที่สนามบินอุ้มผาง หรือแม่สอด หากจำเป็นจริง ๆ โดยเป็นการเหมาลำเที่ยวละ 2 แสนบาท หลังจากทุกอย่างพร้อม ผมและคณะก็ออกเดินทางกรุงเทพมหานคร โดยรถตู้ KIA ซึ่งซื้อมาเพียง สามแสนบาทเท่านั้น
พวกเราตกลงกันว่าจะช่วยกันขับ เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่พอถึงเวลาจริง ๆ กลับปรากฏว่ามีผมและปู่ Bob เท่านั้นที่ขับเป็น ส่วนคนอื่นพอขับได้ แต่ไม่เคยขับรถตู้มาก่อน ผมเสนอให้ปู่ Bob ขับในช่วงแรก เพื่อเป็นความภูมิใจของแก แต่แกบอกว่า เอาไว้เวลาจำเป็นดีกว่า เพราะแกไม่มีใบขับขี่ หากเป็นอะไรไป ทางประกันเขาจะไม่จ่ายเงิน เมี่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงต้อง solo คนเดียวไปตลอดทาง
วันแรกออกจากกรุงเทพเวลา 10 โมงเช้า แวะไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้สูงวัยทั้งรถได้เข้าห้องน้ำทุก ๆ ชั่วโมง เพื่อสุขภาพ จะเสียเวลามากหน่อยก็ตอนกินอาหาร เพราะแต่ละครั้งต้องคอยให้ปู่Bob แกทิ้งช่วงให้อาหารเดินทางออกประมาณ ครึ่งชั่วโมง เห็นสภาพแล้วก็กลัวว่าจะแย่ระหว่างทาง แต่ปู่ Bobก็ยืนยันว่ายังไหว โดยแกสั่งว่าถ้าเป็นอะไรไป ให้เอาศพแกฝังได้เลย ไม่ต้องแบกกลับเข้ากรุงเทพ แก่สั่งว่าอย่าเผา เพราะเดี๋ยว ญาติ ๆ ที่ออสสเตเลียเกิดอยากเห็นหน้าจะได้ขุดขึ้นมาให้ดู
เวลา 19.00 น.ก็เดินทางถึงแม่สอด รีบตรงดิ่งไปกินอาหารร้านข้าวเม่าข้าวฟ่าง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านอาหารดีที่สุดของแม่สอด ในเรื่องความอร่อยและราคา ขอยืนยันว่าเป็นร้านอาหารที่สวยงามมาก เรียกได้ว่าเป็น UNSEEN ของแม่สอดก็ว่าได้
คืนนั้นเราพักที่โรงแรมดวงกมลแม่สอด ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่าเป็นโรงแรมที่สร้างจากเศษกระดาษและขวดเหล้า เป็นโรงแรมของกลุ่มธุรกิจหนังสือดวงกมล ที่ผมเป็นลูกจ้าง โรงแรมนี้ใช้ทุนจากการขายเศษกระดาษและขวดเหล้าขวดเบียร์ตามสาขาต่าง ๆ ของดวงกมล ซึ่งสมัยก่อนมีมากกว่าร้อยสาขา มาจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารในระหว่างก่อสร้าง ฟังดูก็แปลกดี แต่ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
พวกเรา แปดคน เปิดห้องพักทีเดียว 8 ห้อง เพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะรู้ว่า คนวัยทองแบบพวกเรา นอนยาก คนไหนนอนไม่หลับจะได้ดูทีวี หรืออ่านหนังสือ โดยเฉพาะพวกสนับสนุนพันธมิตร คงต้องการกู้ชาติผ่านจอทีวีกัน เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน ซึ่งหากนอนห้องเดียวกับคนที่ไม่รู้ใจกัน อาจต้องตายไปข้างก็ได้ เพราะพวกเรามีทั้งพันธมิตรและ น.ป.ก. ในจำนวนไล่เลี่ยกัน มีปู่Bob อยู่ตรงกลางคนเดียว เรื่องการนอนคนเดียวนี้แท้จริงในกลุ่มพวกเราบางคนคงมีเบื้องหลังของการเป็นเฒ่าตัญหาก็เป็นได้ แต่ตัวผมเป็นประเภทหมดไฟแล้วพร้อมที่จะไปอยู่วัดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เอาว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็แล้วกัน
เรานัดกันว่าจะออกเดินทางไปอุ้มผางตอนเจ็ดโมงเช้า โดยครั้งนี้จะใช้บริการของบริษัททัวร์ชื่อว่า MAX ที่มีสำนักงานอยู่บริเวณโรงแรมดวงกมลโดยเสียค่าบริการการคนละ 2700 บาท รวมทุกอย่างแม้นแต่ค่าทิป ซึ่งได้ยืนยันว่าไม่ต้องจ่ายอีกแล้ว เพราะระยะหลัง ๆ นี้ คนไทยเรามักจะไม่ค่อยสบายใจเวลาเราไม่ให้เพราะดูเหมือนว่าบรรดาพนักงานของหลาย ๆ แห่งจะหวังได้ทิปจากผู้มาใช้บริการมากเกินไป ที่เห็นชัด ๆ ก็คือเวลาเราเข้าไปใช้บริการจากบรรดานวดแผนโบราณ เราต้องเจอกับพนักงานที่หวังจะได้จากเรา จนถึงขั้นเรียกกันว่า 7 ด่านอรหันต์
ค่าบริการ คนละ 2700 จึงตกลงกันว่าเป็นราคาเหมาจ่าย อันประกอบด้วย ค่ารถยนต์ ไปกลับ ที่พัก 2 คืน อาหาร 6 มื้อ การล่องลำน้ำ 3 ชั่วโมง และการพาเที่ยวตามทางผ่าน
รถที่ใช้เป็นรถสองแถวขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมคนขับสี่ตา เพื่อความได้เปรียบในการเดินทาง
เรานัดรวมพลที่ร้านโจ๊กคุณใหญ่หน้าโรงแรมดวงกมล ปู่ Bob ลงมาช้ากว่าใครทั้งหมดพวกเรานึกว่าแกจะเปลี่ยนใจขอนอนเฝ้าโรงแรมรอพวกเรา แต่ทุกคนก็ยิ้มออกเพราะเมื่อถึงเวลาเดินทางปู่แกก็เดินลงมา โดยมีสาว ๆ สองคนประกบข้างเดินมาส่งที่รถ (สาวสองคนที่เดินประกบปู่ Bob ลงมานั้นเป็นพนักงานโรงแรม-ที่คอยให้ความช่วยเหลือ-โปรดอย่าคิดอกุศล)
ตื่นเต้นมากเริ่มออกเดินทาง เป็นวันที่อากาศดี ไม่มีฝน และไม่หนาวการเดินทางช่วงแรกจากแม่สอดถึงอุ้มผางใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงโดยระยะทาง 170 กิโลเมตร มีโค้งประมาณ 1219 โค้ง ตามที่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ แต่จะจริงหรือไม่จริง ใครจะไปนับก็เชิญครับ ปู่Bobแกนั่งหน้าคู่กับคนขับ แต่นั่งได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็มีคนในพวกเราไปขอนั่งแทนเพราะเกิดอาการเมารถอย่างรุนแรง ปู่แกก็เต็มใจ เพราะแกอยากไปนั่งข้างหลังเพื่อจะได้สูบบุหรี่เพราะเกิดอาคารเสี้ยนอย่างแรง ปู่แกเป็นคนเดียวในพวกเราที่ยังสูบบุหรี่อยู่ ถามแกตรง ๆ ว่าหมอไม่ห้ามหรือ แกบอกว่าหมอที่รักษาแกเป็นเพื่อนกัน ได้บอกแกตรง ๆ ว่าสูบไปเถอะเพราะแกคงไม่ตายเพราะบุหรี่ แต่แกจะตายเพราะมะเร็งกินลำไส้แกจนหมดมากกว่า ผ่านโค้งแล้วโค้งเล่า เห็นหมู่บ้านเป็นระยะ มีรถวิ่งสวนกลับอยู่ตลอดเวลา บริเวณไหนที่พอจะมีวิวสวย ๆ ก็จะจอดรถ เพื่อยิงกระต่าย และถ่ายรูป ตามประสาคนมีกล้อง กว่าจะถึงอุ้มผาง ก็หมดเวลาไป ห้าชั่วโมง
แวะกินอาหารเที่ยงและนั่งรถวนรอบตัวอำเภออุ้มผาง ต่อจากนั้นก็พากันลงเรือยางที่นั่งกันได้ 12 คน โดยมีพวกเราแปดคน และคนให้บริการอีก 4 นั่งเรือล่องไปตามลำน้ำแม่กลองที่เขาบอกว่า ไปออกทะเลที่สมุทรสงคราม ผ่านธรรมชาติอันวิจิตรพิสดาร แบบไม่เบื่อก็แล้วกัน เราแวะที่บ่อน้ำร้อนเพื่อขึ้นไปเดินยืนเส้น และพูดคุยกับชาวบ้านที่ต้องแบกของเดินไปเดินกลับวันละ 4 ชั่วโมงเพื่อเอาของมาขายพวกเรา ต่อจากนั้นเราก็นั่งเรือยางต่อไปถึงที่ทำการของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชื่อว่าผาเลือด ฟังดูน่ากลัวแต่ไม่มีโอกาสสอบถามความเป็นไปของชื่อ จากผาเลือดมีรถมารับเราเพื่อเข้าสู่เขตป่า ทีลอซู อันเป็นเป้าหมาย โดยวิ่งแบบช้าๆ ผ่านป่าผ่านเขาอีกเกือบชั่วโมง ก็ถึงเขตที่ทำการของเจ้าหน้าที่รักษาป่าน้ำตกทีลอซู
เราจะนอนที่เขตรักษาป่าที่นี่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นถึงจะเดินป่าเพื่อไปดูน้ำตกทีลอซูซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก เกือบ ๆ 2 กิโล