เที่ยวไปกับ airasia

ไปเซี๊ยเหมิน เพื่อต่อไป ฟูเจี่ยน ไปดู อาคารแปลก ๆ ที่ ย่งติ้ง

จองairasia ไป-กลับ เซี๊ยเหมินเมืองเก่าที่พัฒนาใหม่ด้านตะวันออกของจีน ตรงข้ามเกาะไต้หวัน เมื่อเดือน ธันวาคม 48 แต่ออกเดินทาง 20 มีนาคม 2549 เสียคนละ 1705 บาทรวมค่าภาษีสนามบินอีก คนละ 500 รวมทั้งหมด 2205 บาท ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมงครึ่ง

ไปคราวนี้กะจะลุยตัวเมืองเซี๊ยเหมิน 5 วัน (ไปไหนก็นั่งรถเมล์ไป เสียคนละ 1 หยวน) กะจะต่อยอดไปให้ถึง yongding เมืองที่ถูกเสนอให้เป็นเมืองมรดกโลก โดยน่าจะมีการประกาศช่วงงานโอลิมปิก ที่จีน ในปี 2008

ความพิเศษที่อยากไป yongding เพราะได้ข้อมูลว่า ในช่วงสงครามคอมมูนิสส์ เจ้าหน้าที่ อาวกาศของ เมกา ได้เสนอข้อมูลต่อสภาความมั่นคงว่า มีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจรูปโดนัท ขนาดใหญ่พอ ๆ กับสนามโคลิเซี่ยมของกรุงเอเทน เมืองโบราณของกรีช เป็นอาคารทรงกลม อาคารที่ว่ามีนับร้อย ๆ อันตอนตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ในเขตฟู่เจี่ยน ซึ่งมองดูจากภาพถ่ายทางอากาศ แล้วน่าจะเป็นฐานขีปนาวุธ—หรือโรงงาน ที่ใช้ในการทหาร ทางสภาความมั่นคงรีบตรวจสอบ แต่ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี จึงพบว่า มันเป็นเพียงคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นที่อาศัยของชาวบ้าน โดยสร้างด้วยไม้และดินเหนียวแต่มีขนาดใหญ่ โดยแต่ละอันจะมีห้องพัก 3-500 ห้อง สร้างมา ประมาณ 100-300 ปี

เราได้ข้อมูลแค่นี้จึงอยากไปดูให้เป็นขวัญตา หลังจากได้ข้อมูลเบื้องต้นจาก Google เมื่อหาคำว่า yongding พวกเรา 4 คนไม่รู้ภาษาจีน ไปเมืองจีนจึงเหมือนกลุ่มคนใบ้ออกเที่ยว กลุ่มคนใบ้ที่พูดไม่ได้ซ้ำยังอ่านไม่ออกอีกด้วย ดังนั้นการเตรียมข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะต้องเก็บรูปถ่ายสถานที่เกี่ยวข้อรวมทั้งมูลด้านค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด เป็นต้นว่าอยากจะไปไหนในเมืองนั้นเราก็เอารูปคอยถามเขา บางคนเขาก็นึกว่าเราจะไปขายรูปก็โปกมือปฏิเสธทันที ที่หยาบขนาดเอามือปัดรูปที่เรากะจะถามทางไป ก็มี การเที่ยวตัวเมืองเซี๊ยเหมินนั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะอาศัยข้อมูลจาก blue planet ของ pantip ก็เหลือเฟือแต่การออกไปเที่ยวนอกตัวเมืองเป็นของลำบากและเสี่ยงมาก ๆ ถ้าแก้ปัญหาไม่ถูกอาจหลงเป็นอาทิตย์ และที่สำคัญพวกเรามีงบที่จำกัด และมีตั๋วเที่ยวกลับเป็นข้อบังคับที่กดดันมาก ๆ การตัดสินใจจึงห้ามพลาด

เมื่อถึงสนามบิน เซี๊ยเหมิน ก่อนเครื่องลง 10 นาที จะมีเจ้าหน้าที่มาฉีดสเปย์ฆ่าเชื้อโรคและแมลง ตามทางเดินเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นมาตรการป้องกันโรคซาร์ของจีน ซึ่งดูจะไม่เข้าท่า ความจริง น่าจะ กำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรค ก่อนออกนอกประเทศจะดีกว่า เครื่องบินจอดห่างจากตัวอาคารประมาณ 100 เมตร ต้องเดินลงจากเครื่องและปีนบันไดเข้าไปในตัวอาคาร เป็นอาคารที่ทันสมัยคล้ายสนามบิน KL ของมาเลย์ แต่สภาพไม่พลุกพล่าน ไม่เหมือนสนามบินบ้านเราที่ดอนเมือง ซึ่งสภาพเหมือนในห้างสรรพสินค้า

สภาพสร้างใหม่ ทุกอย่างทันสมัยหมด และที่สำคัญ มีทหารหญิงที่สวยระดับนางงามจักรวาลมายืนเคารพบรรดาผู้โดยสาย ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง สวยแต่น่ารัก เหล่าบรรดาพ่อชี-กอ ต่างพากันถ่ายรูปกันใหญ่ เขาไม่ยอมให้ถ่ายรูปคู่ คงจะกลัวทหารหญิงเขาเสียราคา ส่วนที่ต้องชมก็คือห้องน้ำ มีผ้ากันเปื้อนสำหรับที่นั่งโถส้วม เลื่อนเปลี่ยนเอง และระบบฉีดน้ำล้างก้นที่สามารถปรับหาเป้าหมาย ที่ต้องการ ก๊อกน้ำและถังขยะใช้ระบบเซ็นเซอร์ เปิดและปิดเอง ดูจะทันสมัยกว่าสนามบินใด ๆ ในขณะนี้ ร้านค้ามีอยู่เพียงสามร้าน โดยไม่มีลูกค้าเลย

ผ่านพิธีการตรวจสอบเอกสารเข้าเมืองเรียบร้อง ก็ออกจากสนามบน มีรถ TAXI จอดรอบรับเป็นแถวยาว ตามลายแทงที่เรามี บอกว่าออกจากสนามบินให้เลี้ยวซ้ายเดินไปสุดอาคาร จะเห็นรถเมล์ แล้วให้รอขึ้นสาย37 เราทำตามที่เขาบอก แต่เมื่อเดินไปสุดอาคาร มีแต่ความมืด เป็นลานจอดรถธรรมดา เอาแล้วเริ่มกังวล ต้องเดินกลับไปที่ตัวอาคารสนามบินอีก ถามคนที่เดินผ่านเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้เรื่องสักราย ที่สุดก็แวะเข้าไปถามเจ้าหน้าที่เค้าเตอร์ ก็ไม่ได้เรื่อง จึงรีบเอารูปสถานีรถไฟที่เราจะไปออกมาถือ แล้วเดินไปหารถ TAXI ไม่พูดมากเปิดประตูด้วยความมั่นใจขึ้นนั่ง แล้วเอารูปให้คนขับดู คนขับส่งเสียง อะ แล้วก็ออกรถ มิเตอร์ก็ขึ้นทันที 4 หยวนเรานั่งคู่กับคนขับ และช่วยเขาเบรกอยู่บ่อย ๆ เพราะที่นั่น ขับรถชิดขวา ต่างกับที่บ้านเราที่ขับชิดซ้าย นั่งเสียวไปตลอดทาง

นั่งไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมายเหมือนกับรูป ที่เราถืออยู่ในมือ มิเตอร์ขึ้นว่า 28 หยวน เราก็ให้เขาไป 30 แล้วทำมือโบกลา เขาก็เข้าใจดีนะว่าไม่ต้องทอน ขอให้ง่าย ๆ เข้าใจภาษากายอย่างนี้ตลอดการเดินทางก็ดี ลงจากรถ มองไปทางขวาเห็นห้าง WALL MART ทางซ้ายเป็นโรงแรม XIAMEN PLAZA ที่เราจะพัก จึงรีบพาพวกเดินเข้าไปโรงแรม ที่นี่ดีหน่อย มีพนักงานพูดอังกฤษรู้เรื่อง ขอห้องพัก 2 ห้อง ห้องละ 300 หยวนแต่ที่แปลกก็คือ เขาขอให้เราจ่ายมัดอีกห้องละ 900 หยวน ไม่รู้ว่าเคยมีคนไทยมาสร้างวีระเวร ไว้ที่นี่หรีอเปล่า ประเภทชอบสะสมของที่ระลึกหยิบติดมือกลับบ้านไปด้วย เพราะก่อนเครื่อง AIRASIA จะลงก็มีการประกาศ เตือนผู้จะขโมยเสื้อชูชีพให้ยุติการกระทำ (เราไม่แปลกที่เห็นวางขายอยู่ที่จตุจักร ตัวละ 500 บาทเท่านั้น) เป็นอันว่าใครจะไปนอนโรงแรมนี้ก็ต้องสำรองเงินมัดจำห้องอีกห้องละ 900 หยวน (4500 บาท)ด้วยก็แล้วกัน

ห้องพักของที่นี่ใช้ได้เลย ในห้องมีสินค้า OTOP ประเภทเครื่องสำอางและยาชูกำลังวางอยู่ บนโต๊ะ มากกว่า 10 รายการ เห็นของแล้วก็รีบโทรไปบอก น้อง ๆ ที่ไปด้วย ห้ามไปยุ่งเด็ดขาด นี่เองคงเป็นสาเหตุที่เขาเรียกเงินมัดจำ ห้องละ 900 หยวน เพราะเพียงอาหารพิเคษบำรุงสำหรับท่านชายชอบสนุก ซองเดียวก็ราคา 100 หยวน เท่ากับ 500 บาท แชมพูสมุนไพรซองละ 20 หยวน เท่ากับ 100 บาท นอนหลับสบายครับ คืนนั้น เพราะทีวี มีหลายสิบช่อง แต่มีช่องเดียวที่พูดอังกฤษ แต่เป็นการเสนอข่าวแบบวนไปวนมา จนไม่อยากดู

หกโมงเช้ารีบตื่นแล้วเรียกคณะออกไปเดินออกกำลัง ตามลายแทงแนะให้ไปเดินเที่ยวหน้าสถานีรถไฟ ก็พบว่าพลุกพล่าน มีคนเดินหลายร้อยคน เพราะที่นั่นนอกจากเป็นสถานีรถไฟแล้วยังมีรถเมล์ จอด หลายสิบสาย แต่จอดแค่ 1-5 นาทีแล้วก็ขับออกไป เห็นตำรวจค่อนข้างมาก เขาทำหน้าที่อยู่ 2 อย่าง

1) เรียกผู้ชายเข้ามาขอดูบัตรแล้วพูดผ่านมือถือ แจ้งไปที่ศูนย์ให้ตรวจสอบความถูกต้องและดูข้อมูลว่าเจ้าของบัตรมีปัญหาหรือเปล่า วิธีนี้ทันสมัยดี ถ้าตำรวจไทยทำแบบนี้ โดยไปตามตลาดหรือศูนย์การค้าคงจับต่างชาติที่หนีเข้าเมือง ทำให้มีรายได้เสริมจมเลย

2)จับพวกที่ถุยน้ำลาย ไปเสียค่าปรับคนละ 10 หยวน แล้ว เอามาเฝ้าหาคนทำผิดรายใหม่ วิธีนี้ก็น่าจะมาใช้ที่กทม. จับพวกข้ามถนนแบบ ควาย ๆ ก็ทำกัน นอกจากนั้นก็เห็นสภาพชีวิตของบ้านนอกเข้าเมือง มีทั้งพวกตื่นเต้น และพวกนั่งเศร้า มีพวกวัยรุ่นหญิงด้วย เห็นแล้วสงสาร และคงเป็นเหยื่อของพวกแก๊งต้มตุ๋นเลว ๆ ทั้งหลายต่อไป

เสร็จแล้วก็เข้าไปกินอาหารเช้าในโรงแรม อาหารดีมาก มีทั้งแบบจีน และแบบสากล ให้เรากินอย่างเต็มที่สั่งลูกทีมว่าอย่ากินมาก เอาแค่อิ่มมื้อเดียว ไม่ใช่อิ่มไปทั้งวัน เพราะเรามาเที่ยวและมาชิม เดี๋ยวจะไม่ได้ไปชิมร้านอื่น พวกลูกทีมงง เพราะเวลาไปที่อื่น ปกติจะถูกสั่งให้กินเต็มที่เผื่อทั้งวันเลย เราสั่งเพราะรู้ว่าอาหารที่Xiamenราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ทีนี้ก็ถึงการออกลุย Xiamen ซึ่งเป้าหมายคือการนั่งรถเมล์ๆเที่ยว เพราะไปไหน ๆ ก็ 1 หยวน 5 บาทเท่านั้น ซึ่งสรุปได้ดังนี้

1)สาย 1 จากหน้าสถานีรถไฟที่เราพักไปมหาวิทยาลัย เซี๊ยเหมิน และวัดหนานฝู่โถว รถสายนี้จะผ่านย่านไนท์บาร์ซา ออกจากคิวหน้ามหาวิทยาลัยประมาณ 5 นาที เห็นมีคนมาก ๆ ก็ลงไปเดินได้เลย

2)นั่งสาย 28 จากหน้าโรงแรมไป เกาะเปียโน ต้องไปลงที่เรือเพื่อข้ามฟากไปอีกที ขาไปค่าเรือฟรี ขากลับคนละ 8 หยวน เกาะนี้ชื่อ กูหลั่นยู คำกลางฟังดูแปลก ๆ GULANGYU

3)นั่งสาย 19จากหน้าโรงแรมไป ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ

4)นั่งสาย 21 จากหน้าโรงแรมไปถนนจงซานลู่ ผ่านสถานกงสุลไทย

5)นั่งสาย 67 จากหน้าท่าเรือไป ถงอัน เมืองจำลอง รายการนี้เสีย 3 หยวน เพราะค่อนไกล ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยได้ไปดูบนแผ่นดินใหญ่ด้วย

6)นั่งสาย 29 จากถนนเลียบชายหาดหลัง ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ ผ่านชายหาด ไปสิ้นสุดที่ ตลาดหน้าท่าเรือไปเกาะเปียโน 7)นั่งสาย 18 นั่งจากหน้า มหาวิทยาลัยเซี๊ยะหมิน ไป Jimei บนแผ่นดินใหญ่ เป็นเมืองการศึกษา มีสวนสวย และฟารม์จรเข้ จ่ายคนละ 3 หยวน เพราะเป็นการเดินทางออกนอกเกาะและไกล ประมาณ 30 กม.

8)นั่งสาย 23 จากท่าเรือ ไป สถานีขนส่งเพื่อออกนอกเมือง ไปไกลถึง เซี่ยงไฮ้ ได้ มาที่นี่ก็นั่งรถเมล์เที่ยว ดูบ้านดีเมืองเขาก็พอแล้ว ประหยัดเงิน และไม่หลงทาง เพราะนั่งสายเดิมทั้งไปและกลับ ถ้ากลัวหลงก็หาซื้อแผนที่ที่มีภาษาอังกฤษและหมายเลขรถเมล์ พร้อมเส้นทาง โดยจำท่ารถเมล์สำคัญสักอันสองอันก็ไม่หลงแล้ว พวกเราเที่ยวจนทั่วแล้ว

จบจากนั่งรถเมล์เที่ยวแล้วทีนี้ก็คือคราวจะต้องออกไปเมืองyongding เมืองที่อยู่ห่างจากเซี๊ยเหมินออกไป 400 กิโล โดยต้องไปเริ่มต้นที่สถานีรถทัวร์ ซึ่งเราไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน

เรามีรูปสถานีขนส่งที่จะนั่งรถออกนอกเมือง รวมทั้งข้อมูลว่าจะต้องนั่งรถเมล์สาย..23.....จึงจะถึงสถานีที่ว่า

ทีแรกกะว่าจะเอารูปให้พนักงานขับรถหรือคนเก็บสตางค์ให้เขาดู เพื่อให้เขาบอกเราเมื่อถึงที่หมาย แต่เมื่อเราเป็นคนใบ้ก็ไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร รวมทั้งรถเมล์เขาไม่มีคนเก็บสตางค์ จึงเป็นอันว่าต้องช่วยกันดูข้างทางจนกว่าเห็นอาคารตามรูปก็แล้วกัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง นั่งไปได้ครึ่งชั่วโมงก็เห็นอาคารที่เป็นสถานีขนส่ง แต่ก็ต้องนั่งเลยไปอีกไกล แล้วเดินย้อนกลับอีกที เรียกว่านั่งให้คุ้มก็แล้วกัน ไปถึงสถานีขนส่ง ก็งัดเอารูป หมู่บ้าน Ku Heng และมีภาษาจีนในรูป ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีตึกดินยักษ์ ให้คนขายตั๋วดู เขาก็ชี้ไปอีกช่องหนึ่ง แล้วทีนี้ก็ถึงปัญหาที่จะบอกเขาว่า จะไปวันนี้ เวลาไหน กว่าจะรู้เรื่องก็ทำเอาผู้โดยสารที่อยู่ด้านหลังเริ่มส่งเสียงไม่พอใจที่ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลา ก็ต้องทำหน้าด้านเอาหน่อยก็แล้วกัน เสียคนคนละ 40 หยวน ดีนะที่ตอนนี้เขามีการใช้คอม ในการออกตั๋ว จึงมองออกว่า รถออกตอนที่โมง ที่นั่งหมายเลขอะไร รถจอดอยู่ที่ช่องไหน เมืองเซี๊ยเหมินไม่ใช่ย่อยนะ สถานีขนส่งเขามีเครื่อง CTX แบบใช้ตามสนามบิน ไว้คอยscan กระเป๋า และผู้โดยสายอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเข้าไปในบริเวณรอคอยรถทัวร์ สิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะขึ้นรถคือต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่าเป็นการเดินทาง 5-6 ชั่วโมง รวมทั้งเสบียงไว้ให้พร้อม เพราะเราไม่มีข้อมูลว่าเขาจะแวะที่ไหนบ้างหรือเปล่า 2 ชั่วโมงแรกรถทัวร์อย่างดีขนาด 28 ที่นั่ง วิ่งบนถนนไฮเวย์ 4-6เลน ดีกว่าบ้านเรา แต่หลังจากนั้นเป็นทางขึ้นเขาและกำลังพัฒนา จึงพบว่าการนั่งข้างหน้าเพื่อจะได้ดูวิวข้างทางเริ่มมีปัญหาที่ต้องทนฟังเสียงแตรที่กดอยู่ทุก ๆ นาที ทำเอาหูอื้อไปเลย มีอยู่ช่วงหนึ่งถูกขอร้องให้ลงไปเข็นรถที่เสียและขวางทางอยู่บนทางโค้งบนยอดเขาเป็นของแถมด้วย เห็นป้ายแสดงข้างทางมากมาย แต่ก็ไม่รู้เขาเขียนว่าอะไร สรุปว่าไปเมืองจีน ไม่สามารถขับรถเองก็แล้วกัน นั่งรถไปสี่ชั่วโมงก็เริ่มเห็นตึกยักษ์ ตามข้างทางแล้ว ตื่นตาตื่นใจมาก ๆ เป็นทั้งรูปกลมและสี่เหลื่ยม และแล้วรถก็ไปจอดที่สถานี Ku-heng โดยมีผู้โดยสารลงพร้อม ๆ กับเราหลายคน เป็นชาวบ้านธรรมดา มีเราเท่านั้นที่เป็นนักท่องเที่ยว ลงรถก็มีพวกแมงกาไซค์รับจ้างมารับนับสิบคน (ได้ข้อมูลมาว่าเมืองไทยเราเป็นต้นแบบของการบริการขนส่งมวลชนด้วยแมงกาไซค์เป็นประเทศแรกของโลก)ทันทีที่ลงจากรถก็มีเสียเรียกโวยวาย ถ้าเป็นบ้านเราก็จะเป็นประโยคว่า “ไปไหนพ่อ” ซึ่งเวลาผมเดินทางไปทางอีสานจะได้ยินเป็นประจำ ฟังดูแล้วชื่นใจดีแท้ ได้เห็นบ้านตึกดินยักษ์ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานี จึงรีบเดินไปทันที เพราะปวดฉี่กะว่าจะไปฉี่ข้างในอาคารให้เป็นที่ระลึกสักหน่อย แต่คนเฝ้าเขาไม่ยอมให้เขา ทำไม้ทำมือส่งภาษาใบ้ให้รู้ว่า หมดเวลาให้ดูแล้ว จึงเป็นอันว่า วันแรกนี้ได้ดูแต่ด้านนอก ซึ่งก็ประทับใจแล้ว เดินดูสักครู่ก็ไปหาโรงแรมนอนดีกว่า ซึ่งก็หาได้ง่าย ๆ ใกล้ ๆ กับสถานีขนส่ง มีอยู่ สามแห่ง ไปพบพนักงานก็ส่งภาษาใบ้ว่าเราอยากขอดูห้องก่อน เขาก็พาขึ้นไป จึงตกลงพักเลย เขาเรียก 120 หยวน เราต่อเหลือ 100 เขาก็ยอม เอาเป็นว่าเราได้พักห้องตามราคาที่เราเต็มใจจ่ายก็แล้ว

รายละเอียดการเที่ยววันที่ 2 ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี ดูเอาจากรูปประกอบก็แล้วกัน

ถึงวันกลับ เราก็ไปที่สถานีขนส่ง อยู่ข้าง ๆ โรงแรม บอกเข้าว่าจะไป Xiamen เขาก็ชี้ตารางเดินรถให้ดู เราก็เอาไม้ขนไก่ชี้เวลาที่เราอยากไป จ่าย 50 หยวน ได้ตั๋วเป็นภาษีจีนทั้งใบ ตัวเลขก็เป็นภาษาจีน แล้วก็ออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา ใกล้เวลาเดินทาง ก็กลับมาที่สถานี แต่ปรากฏว่ารถที่เราจะเดินทางไม่ใช่รถทัวร์อย่างดี ที่เราใช้ตอนมา กลายเป็นรถเมล์แบบรถ ขสมก. สีเขียว ที่เรียกว่า ด่วนมหาภัยในบ้านเรา แต่ก็จำใจเพราะพูดไม่เป็น ถ้าพูดเป็นคงทะเลาะกันแน่ เพราะรถห่วยกว่าแต่ ค่าโดยสายแพงกว่าขามา 10 หยวน ซึ่งเรานึกว่าเป็นค่าบริการจอง จากการรู้ว่านั่งข้างหน้าได้ดูวิวแต่ต้องทนเสียงแตร ก็เลยขยับไปนั่งด้านหลัง ก็สบายดี เสียอย่างเดียวที่คนนั่งข้าง ๆ ดันเอาเป็ดขึ้นรถมาด้วย 2 ตัว ตัวใหญ่ ชูหัวออกมาอย่างเดียว และมองเราด้วยความสงสัยตลอดทาง เหมือนจะขอความเห็น แต่มันไม่ร้องไม่ดิ้น ไม่กินอะไรเลย ทีแรกนึกว่าเป็นตุ๊กตาเป็ด แต่เห็นมันเคลื่อนไหวได้ ก็เลยคิดเอาว่า เจ้าของคงจะเอามันกลับบ้าน เพื่อไปต้มกิน จึงจัดการ ตัดลิ้น หักขา แล้วใส่ถุง ชูหัวออกมาหายใจอย่างเดียว คณะที่ร่วมไปด้วย มีคนหนึ่งเป็นหวัด ทำให้นึกถึงเรื่องหวัดนกไปตลอดทาง

จาก Yongding กลับเซี๊ยเหมิน ใช้คนละเส้นทางกับขาไป คราวนี้เป็นเส้นทางโบราณและทางด่วน ได้เห็นความสวยงามและชุมชมมากกว่าขามา ซึ่งมีแต่ป่าเขา ได้รู้ได้เห็นความเจริญว่า ตอนนี้เมืองจีนเขาเน้นเรื่องการสร้างทาง โดยสร้างเป็น ทางด่วนอย่างดี เก็บเงินค่าผ่านทางเป็นระยะ ประมา ณ 50 กม. ก็มีด่าน

เตรียมกลับเมืองไทย

เรากลับไปค้างที่ XIAMEN PLAZA อีกคืน ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับ กรุงเทพในวันรุ่งขึ้น ตอนเช้าวันกลับ บอกให้ทุกคนออกเที่ยวตามลำพังโดยนั่งรถเมล์ แบบนั่งไปนั่งกลับ เห็นอะไรน่าสนใจก็ลงไปเดินดู เสร็จแล้วก็นั่งรถสายเดิมกลับมาที่โรงแรม ส่วนใหญ่บอกว่าจะไปเดินในมหาวิทยาลัย เซี๊ยเหมิน ซึ่งใหญ่โตมาก และอยู่ใกล้ ๆ แหล่งท่องเที่ยวและการค้า โดยแจกตั๋วและPASSPORT ใครมีปัญหาก็เจอกันที่สนามบิน ถ้ามีปัญหามากกว่านั้นก็ตัวใครตัวมัน โดยบอกล่วงหน้าว่าให้นั่งรถเมล์ไปขอความช่วยเหลือที่สถานกงสุลไทย ที่ชี้ใหดูแล้ว ปรากฎว่า ไม่มีใครแตกกลุ่ม ก็เลยขึ้นรถเมล์ตามกันเป็นขบวนเช่นเดิม เรากลับไปโรงแรมตอนสี่โมงเย็น เพื่อขนของไปสนามบิน ตอนแรกวางแผนว่า ขามาจะนั่งรถเมล์จากสนามบินมาโรงแรม แล้วขากลับค่อยนั่ง TAXI แต่เพื่อค้นหาความจริงเรื่องรถเมล์สาย 37 ทีว่าวิ่งจากสนามบินไปสถานีรถไฟมันมีปัญหาอะไรหรือ เราเลยขอให้ใช้รถเมล์ ในการเดินทางกลับไปสนามบิน ทั้ง ๆ ที่ของก็มาก แต่ก็ไม่มากเท่าใด เพราะ AIRASIA กำหนดให้แบบของได้คนละ ไม่เกิน 22 กก. ( เข้าใต้เครื่อง 15 ถือได้อีก 7) รถเมล์ใช้เวลา ชั่วโมงครึ่ง กว่าจะถึงสนามบิน เพราะรถติด และเมื่อเห็นสนามบินแต่ยังห่างประมาณ 1 กิโลก็มีคนลง แต่เราไม่ยอมลง อยากจะรู้ให้แน่ ๆ ว่ารถเมล์จะสุดที่ไหน ปรากฎว่า เขาพาเราออมไปอีกด้านหนื่ง แล้วค่อยวกกลับมา โดยเสียเวลา ประมา ณ 10 นาที ไปสุดสายห่างจาก จุดที่เคยได้รับข้อมูล ไปอีกประมาณ 200 เมตร ไปจอดหน้าอาคาร บริษัท HONEY WELL พวกเราก็แบกของพะรุงพะรัง เข้าไปที่สนามบิน รวมแล้วต้องเดินประมาณ 1 กม. ถึงตัวอาคาร เขากำหนดให้รออยู่ด้านหน้าซึ่งไม่มีอะไร เขาจะเปิดให้เข้าก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมงเท่านั้น คนก็มากที่นั่งก็ไม่พอทำเอาหงุดหงิด พอสมควร และที่สำคัญหน้าจอที่สนามบินขึ้นว่า AIRASIA แถมให้อีก 2 ชั่วโมง เลยได้โอกาสนั่งอ่านหนังสือเรื่องพระเจ้าปราสาททองจนจบ ก่อนขึ้นเครื่องหนึ่งชั่วโมง พาลูกทีมไปนบะหมี่ แบบมาม่า ชามละ 250 บาท เป็นมื้อเดียวที่เราจ่ายแพง เพื่อเป็นความทรงจำในการมาเที่ยว เซี๊ยเหมินในครั้งนี้

ตอน เช็คอิน ปรากฎว่าในกลุ่มน้ำหนักเกินประมาณ 10 กิโล เลยต้องลากกางเกงและเสื้อมาใส่ทั่บกัน คนละ 2 ตัว สามตัว ก็แก้ปัญหาได้ง่ายๆ ในระดับเซียน แต่ตอนอยู่บนเครื่องเห็นคนนั่งข้าง ๆ นั่งดมยาดมตลอดทาง ขอขอบคุณ AIRASIA ที่ทำให้เราได้เที่ยวไกลที่สุดด้วยงบประมาณน้อยที่สุด โดยพวกเราก็ได้อุดหนุนอาหารบนเครื่องแบบครบชุด ทั้งอาหารหลัก ของว่าง และเครื่องดื่ม หมดไปคนละเกือบ 300 บาท ทำเอาอาเฮีย อาซิ้มที่นั่งใกล้ เหล่กันเป็นแถว คงนึกว่าพวกเรารวย หรือ โง่ ที่กินอะไรมากมายขนาดนั้น โดยเขาหารู้ไม่ว่าเราเสียเงินค่าเครื่องบิน คนละ 870 บาทต่อเที่ยว แต่พวกเขาเสียคนละห้าพันกว่า