บันทึกการเดินทางของขุนคลังข้างถนน

ใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นคนแรก

29 กรกฏาคม 2549 เป็นวันเปิดทดลองใช้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นวันแรก สนามบินที่ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 40 ปี ใช้งบประมาณในการสร้างมากกว่า หนึ่งแสนล้านบาท และมีข่าวใหญ่ออกมาเป็นระยะ โดยมากก็เป็นเรื่องการโกงกินในระบบราชการ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ที่ผลักดันเร่งให้มีการสร้างให้เสร็จ เพื่อใช้แทนที่สนามบินดอนเมือง เพราะทุกวันนี้สนามบินดอนเมืองแออัดมาก บางครั้งต้องบินบนเป็นครึ่งชั่วโมง กว่าจะถึงคิวที่จะลง รายละเอียดต่าง ๆ ของการก่อสร้าง ผู้สนใจไปหาหนังสืออ่านเอาเอง เพราะข้อมูลมากเหลือเกิน มีการกำหนดแน่นอนว่าจะเปิดใช้ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนโดยการให้สายการบินไทย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติ พร้อมด้วยสายการบินในประเทศอีก 4 แห่ง ร่วมกันเปิดบินเป็นวันแรก นอกจากการบินไทยแล้ว ก็มี นกแอร์ แอร์เอเชีย 1-2- Go บางกอกแอร์เวย์ มีการประโคมข่าวเรื่องนี้อย่างใหญ่โต เราเองก็ตื่นเต้นไปกับเขาด้วย ในฐานะนักท่องเที่ยวชั้นแนวหน้าของเมืองไทยคนหนึ่ง รีบจัดการหาทางบินไปกับเขาให้ได้ในวันแรก ตอนแรกกะว่าจะใช้บริการของแอร์เอเชีย ซึ่งบินจากสุวรรณภูมิไปนราธิวาส ตอนแรกได้ข่าวว่าเป็นสายการบินเอกชนแรกที่จะบินขึ้นจากสุวรรณภูมิในวันนั้น เรากะว่า เมื่อไปถึงนราธิวาสก็จะนั่งรถตู้ไปหาดใหญ่เสียเวลาประมาณ3-4 ชั่วโมง เพื่อนั่งเครื่องบินจากหาดใหญ่กลับเข้ากรุงเทพอีกที แต่จองที่นั่งไม่ได้เลยหันไปจองนกแอร์ ปรากฏว่าโชคดีกว่า เพราะนกแอร์ออกเดินทางก่อนแอร์เอเชีย 5 นาที และที่สำคัญมีเที่ยวบินจากสุวรรณภูมิ ไปหาดใหญ่เลย อย่างไรก็ตามขากลับเราก็ใช้บริการของแอร์เอเชีย เพราะราคาถูกกว่าห้าร้อยบาท

1)ตีห้าออกจากบ้านพร้อมด้วยสมาชิกในครอบครัวอีก 3 คนเพื่อให้เขาตามไปดูว่าสนามบินสุวรรณภูมิสภาพเป็นอย่างไร ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็ถึงสนามบินแล้ว ตื่นเต้นจริง ๆครับเมื่อเห็นสนามบิน เปิดไฟสว่างไสวทั้งอาคาร จอดรถที่อาคารจอดรถ แล้วเดินไม่ถึง 20 ก้าวก็เข้าไปถึงตัวอาคารใหญ่ของสนามบินเลย เราคงได้ที่จอดรถใกล้ตัวอาคารขนาดนี้ครั้งเดียวในชีวิตแน่ ๆ เดินไปตามป้ายชี้บอกทางไปส่วนของผู้โดยสารขาออกในประเทศซึ่งอยู่ทางทางด้านซ้ายไม่นานก็เจอเค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ของนกแอร์ ที่เราจะใช้เดินทาง ได้รับการทักทายเช่นไปงานเลี้ยงพิเศษขององค์กรต่าง ๆ เราถามถึงเค้าเตอร์เช็คอิน ได้คำตอบว่าจะเปิด เจ็ดโมงครึ่ง แต่เราบอกเขาว่าอยากจะไปเช็คอินเป็นคนแรก ก็มีนกหนุ่มเข้ามารับปากว่า ได้เลย พร้อมทั้งขอหมายเลขจอง และเลขโทรศัพท์ของเรา นกหนุ่มคนนี้แสนรู้มาก มองเห็นเบอร์โทรของเรา ก็เอ่ยปากว่า เป็นเบอร์ VIP ของ 1-2-call กลุ่มเดียวกับพวกหากแดง ไม่รู้ว่าเขาจะคิดหรือเปล่าว่า หางแดงส่งมาล้วงตับน้องนกถึงรัง ความจริงไม่ใช่นะ เราเป็นเพียงคนชอบ เที่ยวชอบเดินทางและชอบอ่านหนังสือ เบอร์ที่ได้มาเป็นเบอร์การกุศลครับ เขาบอกให้ไปเดินเล่น ถึงเวลาจะโทรเรียก พร้อมทั้งแจกแผนที่ของสนามบินให้ด้วย ก่อนจากกันเราบอกว่า ไม่เป็นไรจะไปเข้าคิวเอง เพราะกลัวคนอื่นจะเข้าใจผิด หากมีคนไปเข้าคิวก่อน นกหนุ่มผู้นั้นเข้าใจ แล้วนัดว่าเจอที่เค้าเตอร์ E พร้อมทั้งยืนยันว่าเราเป็นคนแรกที่มาแจ้งของเช็คอิน

2)เดินหาเค้าเตอร์เช็คอิน E ตามที่รับข้อมูลมา เจอแล้วก็ไปนั่งยอง ๆ อ่าน ( DARK WATCH -บันทึกเหตุการณ์คราวเกิดวาตภัยที่ Oregon เมื่อปีที่แล้ว เป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่งของปีนี้--รูปหนังสือบนตักนก)ที่แบกติดตัวไปด้วย กะว่าจัดการให้จบใน trip นี้ พอถึงเวลา หกโมงครึ่งก็เริ่มมีคนมาร่วมเข้าคิวด้วย โดยมีการเปิดเค้าเตอร์ถึง 6 ช่อง เราชักใจไม่ดีกลัวไม่ได้เป็นคนแรกที่เช็คอิน เพราะไม่รู้ว่านกน้อยที่มาบริการเค้าเตอร์ของเราจะมีฝีมือในการเปิดเครื่องหรือเปล่า แต่สักครู่นกหนุ่มที่เอาเบอร์จองและเบอร์โทรศัพท์เราไปก็มาถึง พร้อมทั้งบอกให้น้องนกสาว ๆทั้งหลายว่า ให้เปิดเช็คอินให้เราเป็นคนแรกนะ โชคดีที่เรามาเข้าคิวให้คนอื่นๆ เห็น ไม่อย่างนั้นอาจถูกโวยว่าเป็นเด็กเส้นแน่ ๆ โดยเฉพาะถ้ามีใครมาอ้างสิทธิก่อนเรา เราก็จะโวยเหมือนกัน จึงเป็นอันว่าเราได้ เช็คอินเป็นคนแรก สมกับที่ตั้งใจไว้ ดีใจที่นกหนุ่มผู้นั้นเข้าใจความรู้สึกของผู้โดยสารคนหนึ่ง ได้ใบขึ้นเครื่องแล้ว ก็ถูกไล่ให้ไปรับของแจก เป็นกระสอบสีเหลือ ๆ เปิดดูมีเสื้อยืด 4 ตัว ชาเขียว 1 ขวด ถุงใส่ขยะ 1 ใบ หมอนลมอีก 1 ใบ รวมทั้ง Sim Dtac โทรฟรี15 วันอีก 1 อัน พอใจกับของแจกชุดนี้มาก

3)เข้าไปในห้องรอขึ้นเครื่อง บี 1 เป็นคนแรกอีกเช่นกัน ก็มีนกสาวน้อย เข้ามาถามชื่อ พร้อมทั้งไปเอาใบรับรองการใช้สนามบินในวันนี้มาให้ โดยมีการระบุชื่อเราเรียบร้อย ไม่ใช่ระบุเพียงว่าผู้ถือบัตรนี้ เราก็จับยัดใส่กระเป๋า เรื่องแจกใบรับรองนี้ สร้างปัญหาเหมือนกัน เพราะพอผู้โดยสารเข้ามามาก ๆ ก็แจกให้ไม่ทัน ต้องคอยวิ่งไปวิ่งมามาถามชื่อผู้โดยสารครั้งแล้วครั้งเล่าเราเองถูกถามประมาณ 20 ครั้ง กะจะหากระดาษมาทำป้ายแขวคอว่าข้านี้ชื่อ.................................ความจริงถ้าเอาไปไล่แจกบนเครื่อง คงจะเรียบร้อยกว่านี้นะ ก่อนจะถึงเวลาขึ้นเครื่องมีฝูงนกมาให้บริการ มากว่าผู้โดยสารเสียอีก ตามรูปนกในกรงแก้ว

4)มีโขยงนกเดินขบวนเข้ามาในห้องบี 1 ด้วย มีนกยักษ์เป็นจ่าฝูง ทีแรกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็แปลกใจที่เวลาเขาถอดหัว(โขน)ออกเห็นมีนกสาว ๆ วิ่งเอาน้ำเอาข้าวไปป้อนกันใหญ่ ดูเหมือนจะมีมือน้อยๆไปบีบที่ไหล่ด้วย ทีแรกนึกว่าเป็นคุณตัน ผู้ก่อตั้งชาเขียว โอ อิ ชิ ชมในใจว่า คุณตันนี้ยอดเลยไม่เคยพลาดโอกาสงาม ๆ เช่นนี้ แต่แล้วก็มั่นใจว่าไม่ใช่ เพราะหน้าคล้ายกัน แต่หนุ่มกว่าคุณตันมาก แท้จริงเป็น พญานกที่ไปรูดปรื๊ด ๆ ในจอทีวี เมื่อต้นปี วันละ 10 ครั้ง จนผอมอาจต้องไปกินยาธาตุกุหลาบแดงของทามาเสก ที่ตระกูลไปเป็นนอมินี่ให้เขา พญานกนี้มีปัญหาเครื่องตรวจความปลอดภัยร้องไม่ยอมหยุด เจ้าหน้าที่ AOTก็ไม่ยอมให้ผ่าน ต้องจับถอดเสื้อถอดรองเท้า จนเกือบเหลือตัวเปล่า ๆ (รูปพญานกถอดเกือกถอดเสื้อ) ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะบอกพวกเด็ก ๆ ที่ทำหน้าที่ว่า “รู้ไหมผมเป็นใคร” เด็ก ๆ คงให้ผ่านอย่างง่าย ๆ เห็นสีหน้าของพญานกตอนนั้นแล้วเสียว ๆ ครับ แต่ก็ต้องชมว่า พญานกนิ่งจริง ๆ ไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าวใหญ่แน่

5)ได้เวลาเครื่องออกแต่ออกไม่ได้ ทีแรกนึกว่ารอ VIP นึกบ่นอยู่ในใจเหมือนกัน แต่ได้ยินน้องนกบนเครื่องพูดว่า มีผู้โดยสารหลงทางหาประตู บี 1 ไม่เจอ แต่เช็คอินแล้ว จึงมีการให้นกสาว ๆ ไปตามหา หาเจอแล้ว กำลังจับมาส่งขึ้นเครื่อง เครื่องจึงรอ 10 นาที

6)ในช่วงที่รอ take-off มองไปทางขวาของหน้าต่าง เห็น TG กำลังโผขึ้นจาก runway นึกในใจว่า ถ้าน้องนกรักษาเวลา คงได้ขึ้นจากสุวรรณภูมิเป็นลำแรกแน่ เพราะ TG ท่านเสียงเวลา นานเกินควรเพราะรอ VIP ซึ่งเกิดเปลื่ยนใจ อยากจะนั่งรถเมล์กลับไปบ้านจันทร์ส่องหล้า ขณะเดียวกันเมื่อมองไปทางซ้าย ก็เห็นคุณหางแดง จอดอยู่ กลาง bay ทำท่าจะออกเหมือนกัน กลัวว่าจะโดนปาดหน้าเพราะเลยเวลาแล้ว ผมแปลกใจว่าทำไม่คุณหางแดงไม่ยอมใช้บริการงวงช้าง ทั้ง ๆ ทีมีเหลือเกือบร้อย ไม่รู้ว่ากัปตันเข้าซองไม่เป็นหรือไม่อยากจ่ายค่าบริการ หรือเป็นเอกลักษณ์ของเขา ใครรู้ช่วยบอกด้วย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี เมื่อทุกลำต่างก็ขึ้นจากสนามบินสุวรรณภูมิผิดเวลาเหมือน ๆกัน คนละเล็กละน้อย แต่ก็ตามคิว ที่ได้ตกลงกันไว้ ประทับใจในเที่ยวบินประวัติศาสตร์ สุวรรณภูมิ-หาดใหญ่ เที่ยวนี้มากครับ โดยเฉพาะนกแอร์

บุกเดียว พนมเปญ ต่อ ด้วย นครวัด นครธม

23 พฤษภาคม 2549

ผมใช้บริการของแอร์เอเชีย กทม—พนมเปญ รวมภาษีในราคา 1550 บาท ออกเดินทาง เจ็ดโมงเช้า ใช้เวลา ชั่วโมง ครึ่งก็ออกไปเดินหน้าสนามบินพนมเปญ ผมเกาะแมงกาไซค์ ไปโรงแรม new york ที่อยู่กลางเมือง ในราคาสองดอลล์ เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างดี คืนละ 30 ดอลล์ ไปถึงก็ขอเขากินข้าวเช้าโดยแลกกับพรุ่งนี้จะไม่กินเพราะจะรีบเดินทางไปเสียมเรียบ ผู้จัดการเขาใจดี ก็เลยได้กินจนอิ่ม จากนั้นก็ออกเที่ยวในตัวเมืองพนมเป็ญ ด้วยวิธีการเหมารถ สามล้อ หกชั่วโมงเสียเงิน 12 ดอลล์ โดยกำหนดให้พาไป

1)ทุ่งสังหาร ออกไปนอกเมืองประมาณ 20 กม. ทาง 10 กม.จะถึงแย่มาก ๆ เพราะอยู่ระหว่างสร้างทางใหม่ และฝนตกมาหลายวัน

2)ค่ายกักกันเชลยของ พอล พต (อยู่ในเมือง)

3)พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ

4)พระราชวัง

5)ตลาดกลาง

6)พาไปจองตั๋วรถที่จะไปนครวัด เป็นรถทัวร์ ปรับอากาศ ราคา 350 บาท

สามล้อที่ว่าจ้างได้ทำตามที่ตกลงด้วยดี ทำให้ได้เที่ยวพนมเปญตามที่กะไว้ ตอนกลางคืนออกไปเดินใกล้โรงแรม มีแต่พวกแมงกาไซค์ มาอาสาพาไปนอนกับผู้หญิง

การเที่ยวตัวเมืองพนมเปญเพียงวันเดียวขอสรุปตามความเห็นส่วนตัวดังนี้

1)ธุรกิจส่วนใหญ่ในตัวเมืองถูกครอบงำโดยชาวเวียตนามเป็นส่วนใหญ่ เหมือนเช่นก่อนที่เขมรแดงของพอล พต จะเข้ามาจัดการด้วยใช้สาเหตุของชาตินิยม ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับชาวเขมรทั้งปวง

2)ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนนั้นห่างมาก มีรถหรู จำนวนมาก ขณะเดียวกันเดินไปไหนก็มีขอทานเข้ามารบกวนตลอดเวลา

3)เหตุการณ์ความโหดเหี้ยมของเขมรแดง ถูกบันทึกและสั่งสอนกันมาว่าเกิดขึ้นเพราะการสนับสนุนของทหารไทย ทำให้ชาวเขมรโดยทั่วไปไม่ชอบคนไทย และมีการถ่ายทอด ผ่านไกด์ที่พาเที่ยวทุ่งสังหารและค่ายกักกัน

มุ่งสู่เสียมเรียบ

วันที่ 2 ออกจากโรงแรม 6 โมงเช้าเดินไปร้านขายบาแก๊ต ขนมปังท่อนยาว ๆ ใส่ไส้ตามแต่ชอบอันละ 35 บาท เป็นอาหารหนักพอ ๆ กับข้าวแกงได้ 1 จานสบาย ๆ ตามด้วยโค๊กกระป๋องละ 20 บาท ต่อจากนั้นเดินทางไปขั้นรถทัวร์เพื่อไปเสียมเรียบ คิวรถอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 1 กม. รถออกเวลา 7.00 น. มีผู้โดยสายเต็ม 40 ที่นั่ง เป็นนักท่องเที่ยวมากกว่าครึ่ง ชาวเขมรจะแต่งตัวแบบนักธุรกิจเรียบร้อย ส่วนนักท่องเที่ยวก็มีฝรั่งและเอเชียอย่างละครึ่ง

รถใช้เวลา 5 ชั่วโมงครึ่งสำหรับระยะทาง 320 กม. มีการพักให้เติมพลังและเข้าห้องน้ำ 3 ครั้ง จุดพักเป็นร้านอาหารขนาด 200 ที่นั่ง ทุกแห่งจะมีพ่อค้าแม่ค้าและเด็ก ๆ มาขายของกันเป็นที่สนุกสนาน ที่เห็นแปลกก็คือพวก แมลงทอดต่าง ๆ มีมากมาย ได้เห็นตัว บึ้ง ที่เมืองไทยผมเคยจับมาย่างกินครั้งสุดท้ายเมื่อ 40 ปีก่อน ที่โรงเรียนประจำ จังหวัดชลบุรี เป็นแมงมุมขนาดฝ่ามือเด็ก 2 ขวบ เขาขาย 3 ตัว 10 บาท มีทั้งที่ทอดแล้ว และเป็น ๆ นับเป็นพัน ๆ ตัว เห็นแล้วสยดสยอง นอกจากนั้นก็มีแมลงต่าง ๆ มากกมาย

ส่วนใหญ่จะเป็นจิ้งหรีด กระป๋องละ 10 บาท ตามข้างทางจะเห็นเขาเอาผ้าพลาสติกแบบขาวขุ่น ขนาดผ้าปูที่นอน ทั้งเตียงเล็กและเตียงใหญ่ ไปตากบนราวตากผ้า แต่มีหลอดนีนอนอยู่ใกล้ ๆ เพื่อล่อให้แมลง บินมาเล่นไฟตอนกลางคืน แล้วชนผ้าพลาสติกตกไปในถังหรือแอ่งน้ำด้านล่าง ตอนแรก ผมนึกว่าชาวบ้านเขาทำจอสำหรับฉาย DVD ผ่าน projector แบบที่บ้านเราใช้จอพลาสม่า แต่ที่เขมรเขาใช้ ผ้าพลาติก อย่างกับที่รถไฟใต้ดินบ้านเราใช้กระจกเป็นจอ

ก่อนจะถึงตลาดเสียมเรียบประมาณ 10 กม. จะเห็นคนขี่แมงกาไซกันมาก ข้าง ทางมีคนเอาน้ำมันใส่ขวด โค๊กลิตร วางขายกันเป็น 100 เจ้า เขาขายกันขวดละ 45 บาท

รถพาไปจอดที่สถานีขนส่ง ซอมซ่อ แต่มีผู้คนมาก รถยังไม่ทันจอดก็มีกลุ่มผู้ชายยี่สิบสามสิบคนวิ่งตามรถพร้อมชี้ไม้ชี้มือ เพื่ออาสาให้บริการ

ลงจากรถก็เจรจากับลุงคนหนึ่งด้วยภาษาอังกฤษ แต่คุยด้วยไม่นานแกก็บอกว่า พูดไทยก็ได้ เพราะฟังเราไม่ค่อยเข้าใจ

สรุปก็คือ ให้ไปส่งที่โรงแรมโรซ่า แล้วพาไปเที่ยวนครวัดเลย ตกลงกันว่าจะใช้เวลาทั้งหมด 6 ชั่วโมง เหมาจ่ายกันที่วันละ 8 ดอลล์ ส่วนค่าโรงแรมนั้นเขาคิด 13 ดอลล์ ไม่มีอาหารเช้า

ได้ห้องพักแล้วก็ไปนครวัดเลย ไกลออกไปจากตัวตลาดเสียมเรียบประมาณ 10 กม. ถนนดีมาก และผ่านบริเวณที่เรียกว่าเมืองใหม่ กำลังมีการก่อสร้างมากมาย สนามกีฬา โรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน รวมทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว กำลังก่อสร้างกันใหญ่ อีก 3 ปี ที่นี่คงเป็นหน้าเป็นตาของเสียมเรียบรียม ก่อนจะถึงบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ต้องผ่านด่านเพื่อทำบัตรผ่าน จะทำแบบวันเดียว 20 ดอลล่า 2-3 วัน 40 ดอลล่า หรีอ 7 วัน 60 ดอลล่าก็ได้ มีการถ่ายรูปติดบัตรให้ด้วย สำหรับชาวเขมร ไม่ต้องเสียค่าผ่าน

วันแรกเที่ยวนครวัด

วันที่สองเที่ยวนครธม ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน

การเที่ยวทั้งสองแห่งนี้ไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดเพราะข้อมูลมากเหลือเกิน ผู้สนใจควรหาหนังสือมาอ่าน เล่มที่ขอแนะนำคือ นครวัด นครธม ของ TRIPS MAGAZINE ราคาเล่มละ 185 บาท ซึ่งให้รายละเอียดดีมากทำให้เราไม่ต้องจดไม่ต้องจำ เพราะมีในหนังสือหมดแล้ว เพียงทำให้เราได้เห็นของจริงเท่านั้น

เที่ยวครบทั้งสองแห่ง ตามที่ตั้งใจไว้ ความจริงมีที่เที่ยวอีก หลายแห่ง แต่กลัวสับสน เพราะแค่สองแห่งนี้ ก็จำเกือบไม่ไหวแล้ว

กลับเข้าตลาดเสียมเรียบตอนหกโมงเย็น แล้วไปสนามบินนั่งเครื่องบางกอกแอร์เวย์ PG 947 ออกเวลา20.40 ทุ่ม กลับเข้า กรุงเทพ ใช้เวลาบิน ชั่วโมงเดียว วิธีนี้เสีย 4690 บาท ต้องเสียค่าใช้สนามบินเสียมเรียบอีก 25 ดอลล่า (1000 บาท) ต่างหาก

ใครที่อยากประหยัดเงิน

ก็ต้องเลือกนั่งรถทัวร์กลับไปพนมเปญ รถออก 12.30 น. แล้วไปย่ำราตรีที่พนมเปญ บินกลับเข้า กรุงเทพด้วยแอร์เอเซีย ตอน 8.30 น. แต่ต้องออกจากโรงแรมเช้าหน่อย เพราะตอนเช้ารถติดมากในพนมเปญ ที่สำคัญต้องจองล่วงหน้า เพราะตั๋วฉุกเฉินของ airasia ค่อนข้างแพง

ความเห็นส่วนตัว

1)ที่เสียมเรียบนี้ อะไร ๆ ก็มาจากเมืองไทย โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าหลัก ดูเหมือนว่าเป็นการลักลอบนำเข้ามากขายแบบกระจายรายได้

2)รถสามล้อซึ่งลากโดยแมงกาไซแบบผู้หญิง เห็นแล้วทึ่งมาก คล้าย ๆ กับรถที่ใช้ม้าลากในหนังฝรั่ง ผู้โดยสารนั่งได้ถึง 4 คนเมืองไทยน่าจะเอามาใช้วิ่งตามซอย จะทำให้ประหยัดค่าโดยสาร ได้มาก

3)ขณะที่นั่งกินข้าวตอนกลางคืน มีข่าวน้ำท่วมในเมืองไทย พวกเขมรมุงดูกันใหญ่ พอหมดข่าวเขาตบมือกันใหญ่ ด้วยความพอใจ

4)ได้ติดตามกลุ่มนักท่องเที่ยวฝรั่ง ไกด์อธิบายว่า ความพินาศที่เกิดขึ้นที่นครวัด นครธมนี้ เป็นฝีมือของชาวสยาม ซึ่งอายจากเหตุการณ์นั้น และเปลี่ยนชื่อเป็นไทยในปัจจุบัน

5)เด็ก ๆ ชาวเขมรที่เสียมเรียบและพนมเปญ มีการเรียนภาษาอังกฤษกันอย่างกว้างขวาง เพื่อไว้บริการนักท่องเที่ยว แม้นแต่ขอทานก็ยังสามารถ พูดอังกฤษได้

6)ประเทศไทยสามารถเกี่ยวเกี่ยวผลประโยชน์ของนครวัด นครธมได้หากสามารถเชี่อมต่อการเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ เพราะหนทางสดวกกว่า ที่จะผ่านทาง ปอยเปต ซึ่งปัจจุบันลำบากมาก

>

สรุปค่าใช้จ่าย คนละ สำหรับกลุ่ม 3 คน

1) ค่าวีซ่า เข้าเขมร 800

2) ตั้ว กรุงเทพ-พนมเปญ แอร์เอเซีย 1600

3) ภาษีสนามบินดอนเมือง 500

4) รถสนามบิน-โรงแรม 100

5) โรงแรม เฉลี่ยห้องสามคน 400

6) รถนำเที่ยว 6 ชั่วโมง 300

7) อาหาร 2 มื้อ 300

8) ค่ารถทัวร์ พนมเปญ-เสียมเรียบ 350

9) ค่ารถนำเที่ยว 3 วันคนละ 750

10) ตั๋วเข้าอุทยาน 3 วัน 1600

11) โรงแรมเสียมเรียบ ห้อง 3 คน 2คืน 600 (เฉลี่ยคนละ)

12) บางกอกแอร์ เสียมเรียบ-ดอนเมือง 5000

13( ภาษีสนามบินเสียมเรียบ 1000

14) อาหาร 3 วัน 2000

รวม 15,300

บินไปไปเมืองจีนถูกกว่าไปเชียงใหม่

ไปเมืองจีนด้วยเครื่องบินถูกที่สุดในชีวิต

จองairasia ไป-กลับ เซี๊ยเหมินเมืองเก่าที่พัฒนาใหม่ด้านตะวันออกของจีน ตรงข้ามเกาะไต้หวัน เมื่อเดือน ธันวาคม 48 แต่ออกเดินทาง 20 มีนาคม 2549 เสียคนละ 1705 บาทรวมค่าภาษีสนามบินอีก คนละ 500 รวมทั้งหมด 2205 บาท ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมงครึ่ง

นับว่าเป็นการเดินทางไกลถูกที่สุดที่เคยทำมา เพราะถูกกว่านั่งเรือไปเมืองจีนเมื่อปีที่แล้ว โดยขึ้นเรือที่เชียงของ จังหวัดเชียงรายแล้วไปขึ้นบกที่เมือง Jin Hong ในแค้วนสิบสองปันนา ครั้งนั้นเสียคนละ 3000 บาท

ครั้งนั้น ประทับใจมาก ๆ เพราะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย ก่อนที่จีนจะ ทำการระเบิดแก่งหินต่าง ๆ ในแม่น้ำโขง ทำให้สภาพธรรมชาติเปลี่ยนไปมาก

ไปคราวนี้กะจะลุยตัวเมืองเซี๊ยเหมิน 2 วัน (ไปไหนก็นั่งรถเมล์ไป เสียคนละ 1 หยวน) กะจะต่อยอดไปให้ถึง yongding เมืองที่ถูกเสนอให้เป็นเมืองมรดกโลก โดยน่าจะมีการประกาศช่วงงานโอลิมปิก ที่จีน ในปี 2008

ความพิเศษที่อยากไป yongding เพราะได้ข้อมูลว่า ในช่วงสงครามคอมมูนิสส์ เจ้าหน้าที่ อาวากาศของ เมกา ได้เสนอข้อมูลต่อสภาความมั่นคงว่า มีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจรูปร่างโดนัท ขนาดใหญ่พอ ๆ กับสนามโคลิเซี่ยมของกรุงเอเทน เมืองโบราณของกรีช เป็นอาคารทรงกลม อาคารที่ว่ามีนับหมื่นอันตอนตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ในเขตฟู่เจี่ยน ซึ่งมองดูแล้วน่าจะเป็นฐานขีปนาวุธ—หรือโรงงาน ที่ใช้ในการทหาร ทางสภาความมั่นคงรีบตรวจสอบ แต่ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี จึงพบว่า มันเป็นเพียงคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นที่อาศัยของชาวบ้าน โดยสร้างด้วยไม้และดินเหนียวแต่มีขนาดใหญ่ โดยแต่ละอันจะมีห้องพัก 3-500 ห้อง สร้างมา ประมาณ 100-300 ปี

เราได้ข้อมูลแค่นี้จึงอยากไปดูให้เป็นขวัญตา หลังจากได้ข้อมูลเบื้องต้นจาก Google เมื่อหาคำว่า yongding พวกเรา 4 คนไม่รู้ภาษาจีน ไปเมืองจีนจึงเหมือนกลุ่มคนใบ้ออกเที่ยว กลุ่มคนใบ้ที่พูดไม่ได้ซ้ำยังอ่านไม่ออกอีกด้วย ดังนั้นการเตรียมข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะต้องเก็บรูปถ่ายสถานที่เกี่ยวข้อรวมทั้งมูลด้านค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด เป็นต้นว่าอยากจะไปไหนในเมืองนั้นเราก็เอารูปคอยถามเขา บางคนเขาก็นึกว่าเราจะไปขายรูปให้เขาก็มี ที่หยาบขนาดเอามือปัดรูปที่เรากะจะถามทางไป ก็มี การเที่ยวตัวเมืองเซี๊ยเหมินนั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะอาศัยข้อมูลจาก blue planet ของ pantip ก็เหลือเฟือแต่การออกไปเที่ยวนอกตัวเมืองเป็นของลำบากและเสี่ยงมาก ๆ ถ้าแก้ปัญหาไม่ถูกอาจหลงเป็นอาทิตย์ และที่สำคัญพวกเรามีงบที่จำกัด และมีตั๋วเที่ยวกลับเป็นข้อบังคับที่กดดันมาก ๆ การตัดสินใจจึงห้ามพลาด

เมื่อถึงสนามบิน เซี๊ยเหมิน ก่อนเครื่องลง 10 นาที จะมีเจ้าหน้าที่มาฉีดสเปย์ฆ่าเชื้อโรคและแมลง ตามทางเดินเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นมาตรการป้องกันโรคซาร์ของจีน ซึ่งดูจะไม่เข้าท่า ความจริง น่าจะ กำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรค ก่อนออกนอกประเทศจะดีกว่า เครื่องบินจอดห่างจากตัวอาคารประมาณ 100 เมตร ต้องเดินลงจากเครื่องและปีนบันไดเข้าไปในตัวอาคาร เป็นอาคารที่ทันสมัยคล้ายสนามบิน KL ของมาเลย์ แต่สภาพไม่พลุกพล่าน ไม่เหมือนสนามบินบ้านเราที่ดอนเมือง ซึ่งสภาพเหมือนในห้างสรรพสินค้า

สภาพสร้างใหม่ ทุกอย่างทันสมัยหมด และที่สำคัญ มีทหารหญิงที่สวยระดับนางงามจักรวาลมายืนเคารพบรรดาผู้โดยสาย ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง สวยแต่น่ารัก เหล่าบรรดาพ่อชี-กอ ต่างพากันถ่ายรูปกันใหญ่ เขาไม่ยอมให้ถ่ายรูปคู่ คงจะกลัวทหารหญิงเขาเสียราคา ส่วนที่ต้องชมก็คือห้องน้ำ มีผ้ากันเปื้อนสำหรับที่นั่งโถส้วม เลื่อนเปลี่ยนเอง และระบบฉีดน้ำล้างก้นที่สามารถปรับหาเป้าหมาย ที่ต้องการ ก๊อกน้ำและถังขยะใช้ระบบเซ็นเซอร์ เปิดและปิดเอง ดูจะทันสมัยกว่าสนามบินใด ๆ ในขณะนี้ ร้านค้ามีอยู่เพียงสามร้าน โดยไม่มีลูกค้าเลย

ผ่านพิธีการตรวจสอบเอกสารเข้าเมืองเรียบร้อง ก็ออกจากสนามบน มีรถ TAXI จอดรอบรับเป็นแถวยาว ตามลายแทงที่เรามี บอกว่าออกจากสนามบินให้เลี้ยวซ้ายเดินไปสุดอาคาร จะเห็นรถเมล์ แล้วให้รอขึ้นสาย37 เราทำตามที่เขาบอก แต่เมื่อเดินไปสุดอาคาร มีแต่ความมืด เป็นลานจอดรถธรรมดา เอาแล้วเริ่มกังวล ต้องเดินกลับไปที่ตัวอาคารสนามบินอีก ถามคนที่เดินผ่านเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้เรื่องสักราย ที่สุดก็แวะเข้าไปถามเจ้าหน้าที่เค้าเตอร์ ก็ไม่ได้เรื่อง จึงรีบเอารูปสถานีรถไฟที่เราจะไปออกมาถือ แล้วเดินไปหารถ TAXI ไม่พูดมากเปิดประตูด้วยความมั่นใจขึ้นนั่ง แล้วเอารูปให้คนขับดู คนขับส่งเสียง อะ แล้วก็ออกรถ มิเตอร์ก็ขึ้นทันที 4 หยวนเรานั่งคู่กับคนขับ และช่วยเขาเบรกอยู่บ่อย ๆ เพราะที่นั่น ขับรถชิดขวา ต่างกับที่บ้านเราที่ขับชิดซ้าย นั่งเสียวไปตลอดทาง

นั่งไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมายเหมือนกับรูป ที่เราถืออยู่ในมือ มิเตอร์ขึ้นว่า 28 หยวน เราก็ให้เขาไป 30 แล้วทำมือโบกลา เขาก็เข้าใจดีนะว่าไม่ต้องทอน ขอให้ง่าย ๆ เข้าใจภาษากายอย่างนี้ตลอดการเดินทางก็ดี ลงจากรถ มองไปทางขวาเห็นห้าง WALL MART ทางซ้ายเป็นโรงแรม XIAMEN PLAZA ที่เราจะพัก จึงรีบพาพวกเดินเข้าไปโรงแรม ที่นี่ดีหน่อย มีพนักงานพูดอังกฤษรู้เรื่อง ขอห้องพัก 2 ห้อง ห้องละ 300 หยวนแต่ที่แปลกก็คือ เขาขอให้เราจ่ายมัดอีกห้องละ 900 หยวน ไม่รู้ว่าเคยมีคนไทยมาสร้างวีระเวร ไว้ที่นี่หรีอเปล่า ประเภทชอบสะสมของที่ระลึกหยิบติดมือกลับบ้านไปด้วย เพราะก่อนเครื่อง AIRASIA จะลงก็มีการประกาศ เตือนผู้จะขโมยเสื้อชูชีพให้ยุติการกระทำ (เราไม่แปลกที่เห็นวางขายอยู่ที่จตุจักร ตัวละ 500 บาทเท่านั้น) เป็นอันว่าใครจะไปนอนโรงแรมนี้ก็ต้องสำรองเงินมัดจำห้องอีกห้องละ 900 หยวน (4500 บาท)ด้วยก็แล้วกัน

ห้องพักของที่นี่ใช้ได้เลย ในห้องมีสินค้า OTOP ประเภทเครื่องสำอางและยาชูกำลังวางอยู่ บนโต๊ะ มากกว่า 10 รายการ เห็นของแล้วก็รีบโทรไปบอก น้อง ๆ ที่ไปด้วย ห้ามไปยุ่งเด็ดขาด นี่เองคงเป็นสาเหตุที่เขาเรียกเงินมัดจำ ห้องละ 900 หยวน เพราะเพียงอาหารพิเคษบำรุงสำหรับท่านชายชอบสนุก ซองเดียวก็ราคา 100 หยวน เท่ากับ 500 บาท แชมพูสมุนไพรซองละ 20 หยวน เท่ากับ 100 บาท นอนหลับสบายครับ คืนนั้น เพราะทีวี มีหลายสิบช่อง แต่มีช่องเดียวที่พูดอังกฤษ แต่เป็นการเสนอข่าวแบบวนไปวนมา จนไม่อยากดู

หกโมงเช้ารีบตื่นแล้วเรียกคณะออกไปเดินออกกำลัง ตามลายแทงแนะให้ไปเดินเที่ยวหน้าสถานีรถไฟ ก็พบว่าพลุกพล่าน มีคนเดินหลายร้อยคน เพราะที่นั่นนอกจากเป็นสถานีรถไฟแล้วยังมีรถเมล์ จอด หลายสิบสาย แต่จอดแค่ 1-5 นาทีแล้วก็ขับออกไป เห็นตำรวจค่อนข้างมาก เขาทำหน้าที่อยู่ 2 อย่าง

1) เรียกผู้ชายเข้ามาขอดูบัตรแล้วพูดผ่านมือถือ แจ้งไปที่ศูนย์ให้ตรวจสอบความถูกต้องและดูข้อมูลว่าเจ้าของบัตรมีปัญหาหรือเปล่า วิธีนี้ทันสมัยดี ถ้าตำรวจไทยทำแบบนี้ โดยไปตามตลาดหรือศูนย์การค้าคงจับต่างชาติที่หนีเข้าเมือง ทำให้มีรายได้เสริมจมเลย

2)จับพวกที่ถุยน้ำลาย ไปเสียค่าปรับคนละ 10 หยวน แล้ว เอามาเฝ้าหาคนทำผิดรายใหม่ วิธีนี้ก็น่าจะมาใช้ที่กทม. จับพวกข้ามถนนแบบ ควาย ๆ ก็ทำกัน นอกจากนั้นก็เห็นสภาพชีวิตของบ้านนอกเข้าเมือง มีทั้งพวกตื่นเต้น และพวกนั่งเศร้า มีพวกวัยรุ่นหญิงด้วย เห็นแล้วสงสาร และคงเป็นเหยื่อของพวกแก๊งต้มตุ๋นเลว ๆ ทั้งหลายต่อไป

เสร็จแล้วก็เข้าไปกินอาหารเช้าในโรงแรม อาหารดีมาก มีทั้งแบบจีน และแบบสากล ให้เรากินอย่างเต็มที่สั่งลูกทีมว่าอย่ากินมาก เอาแค่อิ่มมื้อเดียว ไม่ใช่อิ่มไปทั้งวัน เพราะเรามาเที่ยวและมาชิม เดี๋ยวจะไม่ได้ไปชิมร้านอื่น พวกลูกทีมงง เพราะเวลาไปที่อื่น ปกติจะถูกสั่งให้กินเต็มที่เผื่อทั้งวันเลย เราสั่งเพราะรู้ว่าอาหารที่Xiamenราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ทีนี้ก็ถึงการออกลุย Xiamen ซึ่งเป้าหมายคือการนั่งรถเมล์ๆเที่ยว เพราะไปไหน ๆ ก็ 1 หยวน 5 บาทเท่านั้น ซึ่งสรุปได้ดังนี้

1)สาย 1 จากหน้าสถานีรถไฟที่เราพักไปมหาวิทยาลัย เซี๊ยเหมิน และวัดหนานฝู่โถว รถสายนี้จะผ่านย่านไนท์บาร์ซา ออกจากคิวหน้ามหาวิทยาลัยประมาณ 5 นาที เห็นมีคนมาก ๆ ก็ลงไปเดินได้เลย

2)นั่งสาย 28 จากหน้าโรงแรมไป เกาะเปียโน ต้องไปลงที่เรือเพื่อข้ามฟากไปอีกที ขาไปค่าเรือฟรี ขากลับคนละ 8 หยวน เกาะนี้ชื่อ กูหลั่นยู คำกลางฟังดูแปลก ๆ GULANGYU

3)นั่งสาย 19จากหน้าโรงแรมไป ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ

4)นั่งสาย 21 จากหน้าโรงแรมไปถนนจงซานลู่ ผ่านสถานกงสุลไทย

5)นั่งสาย 67 จากหน้าท่าเรือไป ถงอัน เมืองจำลอง รายการนี้เสีย 3 หยวน เพราะค่อนไกล ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยได้ไปดูบนแผ่นดินใหญ่ด้วย

6)นั่งสาย 29 จากถนนเลียบชายหาดหลัง ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ ผ่านชายหาด ไปสิ้นสุดที่ ตลาดหน้าท่าเรือไปเกาะเปียโน 7)นั่งสาย 18 นั่งจากหน้า มหาวิทยาลัยเซี๊ยะหมิน ไป Jimei บนแผ่นดินใหญ่ เป็นเมืองการศึกษา มีสวนสวย และฟารม์จรเข้ จ่ายคนละ 3 หยวน เพราะเป็นการเดินทางออกนอกเกาะและไกล ประมาณ 30 กม.

8)นั่งสาย 23 จากท่าเรือ ไป สถานีขนส่งเพื่อออกนอกเมือง ไปไกลถึง เซี่ยงไฮ้ ได้ มาที่นี่ก็นั่งรถเมล์เที่ยว ดูบ้านดีเมืองเขาก็พอแล้ว ประหยัดเงิน และไม่หลงทาง เพราะนั่งสายเดิมทั้งไปและกลับ ถ้ากลัวหลงก็หาซื้อแผนที่ที่มีภาษาอังกฤษและหมายเลขรถเมล์ พร้อมเส้นทาง โดยจำท่ารถเมล์สำคัญสักอันสองอันก็ไม่หลงแล้ว พวกเราเที่ยวจนทั่วแล้ว

จบจากนั่งรถเมล์เที่ยวแล้วทีนี้ก็คือคราวจะต้องออกไปเมืองyongding เมืองที่อยู่ห่างจากเซี๊ยเหมินออกไป 400 กิโล โดยต้องไปเริ่มต้นที่สถานีรถทัวร์ ซึ่งเราไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน

เรามีรูปสถานีขนส่งที่จะนั่งรถออกนอกเมือง รวมทั้งข้อมูลว่าจะต้องนั่งรถเมล์สาย..23.....จึงจะถึงสถานีที่ว่า

ทีแรกกะว่าจะเอารูปให้พนักงานขับรถหรือคนเก็บสตางค์ให้เขาดู เพื่อให้เขาบอกเราเมื่อถึงที่หมาย แต่เมื่อเราเป็นคนใบ้ก็ไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร รวมทั้งรถเมล์เขาไม่มีคนเก็บสตางค์ จึงเป็นอันว่าต้องช่วยกันดูข้างทางจนกว่าเห็นอาคารตามรูปก็แล้วกัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง นั่งไปได้ครึ่งชั่วโมงก็เห็นอาคารที่เป็นสถานีขนส่ง แต่ก็ต้องนั่งเลยไปอีกไกล แล้วเดินย้อนกลับอีกที เรียกว่านั่งให้คุ้มก็แล้วกัน ไปถึงสถานีขนส่ง ก็งัดเอารูป หมู่บ้าน Ku Heng และมีภาษาจีนในรูป ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีตึกดินยักษ์ ให้คนขายตั๋วดู เขาก็ชี้ไปอีกช่องหนึ่ง แล้วทีนี้ก็ถึงปัญหาที่จะบอกเขาว่า จะไปวันนี้ เวลาไหน กว่าจะรู้เรื่องก็ทำเอาผู้โดยสารที่อยู่ด้านหลังเริ่มส่งเสียงไม่พอใจที่ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลา ก็ต้องทำหน้าด้านเอาหน่อยก็แล้วกัน เสียคนคนละ 40 หยวน ดีนะที่ตอนนี้เขามีการใช้คอม ในการออกตั๋ว จึงมองออกว่า รถออกตอนที่โมง ที่นั่งหมายเลขอะไร รถจอดอยู่ที่ช่องไหน เมืองเซี๊ยเหมินไม่ใช่ย่อยนะ สถานีขนส่งเขามีเครื่อง CTX แบบใช้ตามสนามบิน ไว้คอยscan กระเป๋า และผู้โดยสายอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเข้าไปในบริเวณรอคอยรถทัวร์ สิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะขึ้นรถคือต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะรู้ว่าเป็นการเดินทาง 5-6 ชั่วโมง รวมทั้งเสบียงไว้ให้พร้อม เพราะเราไม่มีข้อมูลว่าเขาจะแวะที่ไหนบ้างหรือเปล่า 2 ชั่วโมงแรกรถทัวร์อย่างดีขนาด 28 ที่นั่ง วิ่งบนถนนไฮเวย์ 4-6เลน ดีกว่าบ้านเรา แต่หลังจากนั้นเป็นทางขึ้นเขาและกำลังพัฒนา จึงพบว่าการนั่งข้างหน้าเพื่อจะได้ดูวิวข้างทางเริ่มมีปัญหาที่ต้องทนฟังเสียงแตรที่กดอยู่ทุก ๆ นาที ทำเอาหูอื้อไปเลย มีอยู่ช่วงหนึ่งถูกขอร้องให้ลงไปเข็นรถที่เสียและขวางทางอยู่บนทางโค้งบนยอดเขาเป็นของแถมด้วย เห็นป้ายแสดงข้างทางมากมาย แต่ก็ไม่รู้เขาเขียนว่าอะไร สรุปว่าไปเมืองจีน ไม่สามารถขับรถเองก็แล้วกัน นั่งรถไปสี่ชั่วโมงก็เริ่มเห็นตึกยักษ์ ตามข้างทางแล้ว ตื่นตาตื่นใจมาก ๆ เป็นทั้งรูปกลมและสี่เหลื่ยม และแล้วรถก็ไปจอดที่สถานี Ku-heng โดยมีผู้โดยสารลงพร้อม ๆ กับเราหลายคน เป็นชาวบ้านธรรมดา มีเราเท่านั้นที่เป็นนักท่องเที่ยว ลงรถก็มีพวกแมงกาไซค์รับจ้างมารับนับสิบคน (ได้ข้อมูลมาว่าเมืองไทยเราเป็นต้นแบบของการบริการขนส่งมวลชนด้วยแมงกาไซค์เป็นประเทศแรกของโลก)ทันทีที่ลงจากรถก็มีเสียเรียกโวยวาย ถ้าเป็นบ้านเราก็จะเป็นประโยคว่า “ไปไหนพ่อ” ซึ่งเวลาผมเดินทางไปทางอีสานจะได้ยินเป็นประจำ ฟังดูแล้วชื่นใจดีแท้ ได้เห็นบ้านตึกดินยักษ์ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานี จึงรีบเดินไปทันที เพราะปวดฉี่กะว่าจะไปฉี่ข้างในอาคารให้เป็นที่ระลึกสักหน่อย แต่คนเฝ้าเขาไม่ยอมให้เขา ทำไม้ทำมือส่งภาษาใบ้ให้รู้ว่า หมดเวลาให้ดูแล้ว จึงเป็นอันว่า วันแรกนี้ได้ดูแต่ด้านนอก ซึ่งก็ประทับใจแล้ว เดินดูสักครู่ก็ไปหาโรงแรมนอนดีกว่า ซึ่งก็หาได้ง่าย ๆ ใกล้ ๆ กับสถานีขนส่ง มีอยู่ สามแห่ง ไปพบพนักงานก็ส่งภาษาใบ้ว่าเราอยากขอดูห้องก่อน เขาก็พาขึ้นไป จึงตกลงพักเลย เขาเรียก 120 หยวน เราต่อเหลือ 100 เขาก็ยอม เอาเป็นว่าเราได้พักห้องตามราคาที่เราเต็มใจจ่ายก็แล้ว

รายละเอียดการเที่ยววันที่ 2 ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี ดูเอาจากรูปประกอบก็แล้วกัน

ถึงวันกลับ เราก็ไปที่สถานีขนส่ง อยู่ข้าง ๆ โรงแรม บอกเข้าว่าจะไป Xiamen เขาก็ชี้ตารางเดินรถให้ดู เราก็เอาไม้ขนไก่ชี้เวลาที่เราอยากไป จ่าย 50 หยวน ได้ตั๋วเป็นภาษีจีนทั้งใบ ตัวเลขก็เป็นภาษาจีน แล้วก็ออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา ใกล้เวลาเดินทาง ก็กลับมาที่สถานี แต่ปรากฏว่ารถที่เราจะเดินทางไม่ใช่รถทัวร์อย่างดี ที่เราใช้ตอนมา กลายเป็นรถเมล์แบบรถ ขสมก. สีเขียว ที่เรียกว่า ด่วนมหาภัยในบ้านเรา แต่ก็จำใจเพราะพูดไม่เป็น ถ้าพูดเป็นคงทะเลาะกันแน่ เพราะรถห่วยกว่าแต่ ค่าโดยสายแพงกว่าขามา 10 หยวน ซึ่งเรานึกว่าเป็นค่าบริการจอง จากการรู้ว่านั่งข้างหน้าได้ดูวิวแต่ต้องทนเสียงแตร ก็เลยขยับไปนั่งด้านหลัง ก็สบายดี เสียอย่างเดียวที่คนนั่งข้าง ๆ ดันเอาเป็ดขึ้นรถมาด้วย 2 ตัว ตัวใหญ่ ชูหัวออกมาอย่างเดียว และมองเราด้วยความสงสัยตลอดทาง เหมือนจะขอความเห็น แต่มันไม่ร้องไม่ดิ้น ไม่กินอะไรเลย ทีแรกนึกว่าเป็นตุ๊กตาเป็ด แต่เห็นมันเคลื่อนไหวได้ ก็เลยคิดเอาว่า เจ้าของคงจะเอามันกลับบ้าน เพื่อไปต้มกิน จึงจัดการ ตัดลิ้น หักขา แล้วใส่ถุง ชูหัวออกมาหายใจอย่างเดียว คณะที่ร่วมไปด้วย มีคนหนึ่งเป็นหวัด ทำให้นึกถึงเรื่องหวัดนกไปตลอดทาง

จาก Yongding กลับเซี๊ยเหมิน ใช้คนละเส้นทางกับขาไป คราวนี้เป็นเส้นทางโบราณและทางด่วน ได้เห็นความสวยงามและชุมชมมากกว่าขามา ซึ่งมีแต่ป่าเขา ได้รู้ได้เห็นความเจริญว่า ตอนนี้เมืองจีนเขาเน้นเรื่องการสร้างทาง โดยสร้างเป็น ทางด่วนอย่างดี เก็บเงินค่าผ่านทางเป็นระยะ ประมา ณ 50 กม. ก็มีด่าน

เตรียมกลับเมืองไทย

เรากลับไปค้างที่ XIAMEN PLAZA อีกคืน ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับ กรุงเทพในวันรุ่งขึ้น ตอนเช้าวันกลับ บอกให้ทุกคนออกเที่ยวตามลำพังโดยนั่งรถเมล์ แบบนั่งไปนั่งกลับ เห็นอะไรน่าสนใจก็ลงไปเดินดู เสร็จแล้วก็นั่งรถสายเดิมกลับมาที่โรงแรม ส่วนใหญ่บอกว่าจะไปเดินในมหาวิทยาลัย เซี๊ยเหมิน ซึ่งใหญ่โตมาก และอยู่ใกล้ ๆ แหล่งท่องเที่ยวและการค้า โดยแจกตั๋วและPASSPORT ใครมีปัญหาก็เจอกันที่สนามบิน ถ้ามีปัญหามากกว่านั้นก็ตัวใครตัวมัน โดยบอกล่วงหน้าว่าให้นั่งรถเมล์ไปขอความช่วยเหลือที่สถานกงสุลไทย ที่ชี้ใหดูแล้ว ปรากฎว่า ไม่มีใครแตกกลุ่ม ก็เลยขึ้นรถเมล์ตามกันเป็นขบวนเช่นเดิม เรากลับไปโรงแรมตอนสี่โมงเย็น เพื่อขนของไปสนามบิน ตอนแรกวางแผนว่า ขามาจะนั่งรถเมล์จากสนามบินมาโรงแรม แล้วขากลับค่อยนั่ง TAXI แต่เพื่อค้นหาความจริงเรื่องรถเมล์สาย 37 ทีว่าวิ่งจากสนามบินไปสถานีรถไฟมันมีปัญหาอะไรหรือ เราเลยขอให้ใช้รถเมล์ ในการเดินทางกลับไปสนามบิน ทั้ง ๆ ที่ของก็มาก แต่ก็ไม่มากเท่าใด เพราะ AIRASIA กำหนดให้แบบของได้คนละ ไม่เกิน 22 กก. ( เข้าใต้เครื่อง 15 ถือได้อีก 7) รถเมล์ใช้เวลา ชั่วโมงครึ่ง กว่าจะถึงสนามบิน เพราะรถติด และเมื่อเห็นสนามบินแต่ยังห่างประมาณ 1 กิโลก็มีคนลง แต่เราไม่ยอมลง อยากจะรู้ให้แน่ ๆ ว่ารถเมล์จะสุดที่ไหน ปรากฎว่า เขาพาเราออมไปอีกด้านหนื่ง แล้วค่อยวกกลับมา โดยเสียเวลา ประมา ณ 10 นาที ไปสุดสายห่างจาก จุดที่เคยได้รับข้อมูล ไปอีกประมาณ 200 เมตร ไปจอดหน้าอาคาร บริษัท HONEY WELL พวกเราก็แบกของพะรุงพะรัง เข้าไปที่สนามบิน รวมแล้วต้องเดินประมาณ 1 กม. ถึงตัวอาคาร เขากำหนดให้รออยู่ด้านหน้าซึ่งไม่มีอะไร เขาจะเปิดให้เข้าก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมงเท่านั้น คนก็มากที่นั่งก็ไม่พอทำเอาหงุดหงิด พอสมควร และที่สำคัญหน้าจอที่สนามบินขึ้นว่า AIRASIA แถมให้อีก 2 ชั่วโมง เลยได้โอกาสนั่งอ่านหนังสือเรื่องพระเจ้าปราสาททองจนจบ ก่อนขึ้นเครื่องหนึ่งชั่วโมง พาลูกทีมไปนบะหมี่ แบบมาม่า ชามละ 250 บาท เป็นมื้อเดียวที่เราจ่ายแพง เพื่อเป็นความทรงจำในการมาเที่ยว เซี๊ยเหมินในครั้งนี้

ตอน เช็คอิน ปรากฎว่าในกลุ่มน้ำหนักเกินประมาณ 10 กิโล เลยต้องลากกางเกงและเสื้อมาใส่ทั่บกัน คนละ 2 ตัว สามตัว ก็แก้ปัญหาได้ง่ายๆ ในระดับเซียน แต่ตอนอยู่บนเครื่องเห็นคนนั่งข้าง ๆ นั่งดมยาดมตลอดทาง ขอขอบคุณ AIRASIA ที่ทำให้เราได้เที่ยวไกลที่สุดด้วยงบประมาณน้อยที่สุด โดยพวกเราก็ได้อุดหนุนอาหารบนเครื่องแบบครบชุด ทั้งอาหารหลัก ของว่าง และเครื่องดื่ม หมดไปคนละเกือบ 300 บาท ทำเอาอาเฮีย อาซิ้มที่นั่งใกล้ เหล่กันเป็นแถว คงนึกว่าพวกเรารวย หรือ โง่ ที่กินอะไรมากมายขนาดนั้น โดยเขาหารู้ไม่ว่าเราเสียเงินค่าเครื่องบิน คนละ 870 บาทต่อเที่ยว แต่พวกเขาเสียคนละห้าพันกว่า

ความปลอดภัยในการเดินทาง

การเดินทางตามลำน้ำโขงสามารถใช้บริการของบริษัท เดินเรือมากมาย ไม่ว่า ไทย พม่า ลาว จีน เวียตนาม เขมร ซึ่งมีบริการวันละ หลายเที่ยว ส่วนใหญ่จะไปสิ้นสุดที่ประเทศจีน ในราคาที่แตกต่างกัน แล้วแต่สภาพเรือ และการให้บริการ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องความปลอดภัยแล้ว ต้องยกให้เรือจีน เพราะเป็นเรื่องสบายใจว่า จะไม่โดนปล้นระหว่างทาง นอกจากนี้เรือจีนเขาอยากแวะพักตรงไหน ก็ทำได้หมด ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าถิ่น ถามเจ้าหน้าที่ของเรือจีน เขาเล่าให้ฟังว่า มีข้อตกลงพิเศษว่า ในพื้นที่ใดที่ไม่ปลดดภัย ทางจีนเขาจะจัดการให้ โดยส่งคนมาอยู่ เป็นนิคมจีน บริเวณที่มีปัญหา แห่งละ หนึ่งพันคนพร้อมอาวุธ เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เรือจีน เรื่องไม่ดีต่าง ๆ จึงไม่เกิดขึ้น กับเรือจีน แต่เรือของชาติอื่น ๆ มักจะมีปัญหา โดยเฉพาะกับพวกติดวาวุธตามชายแดน ซึ่งมักจะมาขอหรือรีดไถประจำ แต่เรือจีน ปลอดภัยดีทุกประการ ผมจึงเลือดใช้บริการ ด้วยความเต็มทั้ง ๆ ที่ราคาแพงกว่ากัน 30 %

ความบ้าของพ่อค้าแตงโม

ใกล้ตลาดของหมู่บ้านจินฮง ในแคว้นสิบสองปันนา ของจีน มีสพานให้คนข้ามแม่น้ำกว้างประมาณ 300 เมตร แต่ถ้าจะไปทางลัดต้องขี่จักรยานบนเส้นลวด ข้ามไป เหมือนที่นักกายกรรมเขาทำกัน ซึ่งมีน้อยคนที่เขาจะทำแบบนี้เพราะตายไปหลายคนแล้ว นาน ๆ จะมีขี้เมามาขี่เล่นเท่านั้น ไม่เคยมีนักท่องเที่ยวกล้าทำ แต่เราเห็นว่าไม่มีอะไรยาก ก็เลยจัดการโดยการอุ้มแตงโมไว้ในท้องอีกใบ หัวใจเต้นแรงตอนที่ขี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตกลงไปคอหักตาย บริษัทประกันเขาจะจ่ายให้หรือเปล่า ขี่เสร็จชาวบ้านแถวนั้นตบมือกันใหญ่ เขาบอกว่า เสียดายที่เราไม่ตกไปตาย เพราะถ้าตาย พวกเขาจะได้ดูการยิงเป้าเป็นของแถมอีก เพราะคนเฝ้าเส้นลวด ดันหนีกลับบ้านไปหาเมีย

ทะเลสาปปากนายจังหวัดน่าน

ใครก็ตามที่ยังไม่เคยไปกินอาหารที่ ทะเลสาบปากนาย อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน…….ก็อย่าบังอาจประกาศตัวเป็นนักชิมที่ยิ่งใหญ่

800 กิโลเมตรจากกรุงเทพมหานคร ด้วยรถ โฟว์วิล พร้อมด้วยเวลาประมาณ 9 ชั่วโมง ตามทางหลวงสายเอเซียมุ่งสู่จังหวัดพิษณุโลก แล้วตัดตรงไปจังหวัดน่านโดยผ่าน อุตรดิตถ์ แพร่ เมื่อถึงอำเภอเวียงสาจังหวัดน่านจะเห็นป้ายทะเลสาบปากนายให้เลี้ยวขวา ก็หักเลี้ยวขวาเข้าสู่ตลาดอำเภอเวียงสา และไปตามป้ายที่ติดเป็นระยะไม่ให้หลงทาง โดยจะผ่าน อำเภอนาน้อย มุ่งสู่งอำเภอนาหมื่น จากนั้นลุยข้ามเขาไปอีก 15 ลูก รวมระยะทางแล้วเกือบ 100 กิโลเมตร จากทางแยกเข้าตัวจังหวัดน่านก็จะถึงทะเลสาบปากนาย ซึ่งเป็นส่วนเหนือสุดของอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิต์ เมื่อถึงที่หมาย ต้องขอสารภาพว่า ผมด่าจังหวัดน่านอยู่ในใจว่า ทำไมหลอกกันถึงขนาดนี้ เพราะตรงทางแยกไปตัวจังหวัดน่านถ้าป้ายบอกว่าไปทะเลสาบปากนายอีก 100 กม. (ป้ายที่บอกไม่บอกระยะทาง) ผมคงไม่ถ่อสังขารขับรถคู่ชีพมาถึงปากนาย เพียงแค่จะหาที่กินข้าวสักมื้อ แต่แล้วความคิดร้าย ๆ ก็หายไปหมดสิ้น เมื่อเห็นสภาพที่เป็นจริงว่า เรากำลังอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง เพราะเป็นทะเลสาบที่ล้อมรอบทุกด้านด้วยภูเขาที่ไม่สูงนัก ค่ำวันนั้นผมเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวของหมู่บ้านปายนาย

ด้วยมาดซำเหมาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น เข้าไปติดต่อหาที่พัก กับชายกลางคน ซึ่งเสนอที่พักในร้านอาหารโดยนอนรวมกับพนักงานสาว ๆ ของร้านก็ไม่ต้องเสียเงิน หรือจะเลือกเอาห้องพักบนแพที่ลอยอยู่กลางทะเลสาบ ก็ให้เสียคืนละ ๔๐ บาท

ได้ที่พักบนแพเรียบร้อยก็จัดการสั่งอาหารจากเมนุปากเปล่าของพนักงานตัวน้อยสามสี่คนที่แย่งกันมาให้บริการ ปลาบู่นึ่งมะนาว ปลากดลวก แล้วแถมด้วยปลาคังผัดคึ่งใช่ อาหารหลักสำหรับทดสอบฝีมือพ่อครัวปลาน้ำจืด ใช้เวลารอ เกือบชั่วโมงอาหารทั้งสามอย่างก็ถูกยกมาวางพร้อมกัน เพราะครัวอยู่ห่างจากแพที่พักประมาณ 100 เมตร หลังจากที่เจ้าหนูทั้งสามตะโกนสั่งเสียงดังลั่นคุ้งน้ำเพื่อโชว์ความสามารถในการจับแขกVIPในค่ำวันนั้น

หลังอาหารค่ำอันโรแมนติก ก็นั่งพักมองออกไปรอบเรือนแพที่พัก ซึ่งมืดมิดไปหมด แต่ก็เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับในคืนนั้น ต่อจากนั้นก็ได้เวลานอนตีพุงนอนรับบรรายากาศแปลก ๆ ในคืนนั้น

แต่พอตื่นขึ้นมาสวรรค์ที่มีอยู่เมื่อคืน ก็หายไปหมด เมื่อพบว่า ทะเลสาบที่ผมสัมผัสเมื่อคืน ที่แท้ก็คืออ่างเก็บน้ำขนาด 100 ไร่เท่านั้นเองและสำควรอย่างยิ่งที่จะเรียกว่าสลัมกลางน้ำ เพราะเต็มไปด้วยเรือนแพ แบบเดียวกับที่ลำน้ำแควจังหวัดกาญจนบุรี

แต่ที่เห็นแล้วแทบคายอาหารที่ว่าอร่อยสุด ๆ เมื่อคืนออกมา ก็เพราะอ่างเก็บน้ำดังกล่าวเป็นอ่างเก็บน้ำนิ่งเนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำจึงอยู่ต่ำกว่าระดับทางระบายน้ำ ทำให้เห็นภาพชัด ๆ ว่า ชาวแพทั้งหลายทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวในวันหยุดต่อเนื่องหลาย ๆ วันที่พากันมานับพันคนต่างปล่อยของเสียทุกประเภทลงไปในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งผมใช้ในการล้างหน้าและอาบ และที่สำคัญปลาจำนวนมหาศาลต่างมีความสุขกับอึที่มีความหลายหลายทางชีวภาพ เศร้าที่สุดก็คือได้ทราบจากชาวปากนายว่าทางจังหวัดน่านมีความภูมิใจกับที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มาก จึงสร้างแพพิเศษ เพื่อรับรองแขก VIP ของทางจังหวัดน่านอีกด้วยและหวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐีระดับโลกของไทยเรา คงจะได้เป็นแขกพิเศษของทางจังหวัดน่านในอีกไม่นาน สำหรับผมแล้วคงไม่กลับไปปากนายแห่งนี้อีกเป็นแน่ ยกเว้นเมื่อได้ทราบว่าทางจังหวัดว่าได้สั่งอพยพชาวแพทั้งหลาย ให้ขึ้นไปอยู่บนสันเขา และมีการสร้างห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวถ่ายของเสียลงไปในอ่างเก็บน้ำเพื่อเป็นอาหารปลา และทำให้ปลาแห่งนี้ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในประเทศไทยมาเป็นเวลานานหลายสิบปี และผมก็ได้มารับรู้ความจริง

คลิก..กลับไปหน้าแรก